ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็กลายเป็นกระแสไปทุกเรื่อง สำหรับ แตงโม นิดา ที่ได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ เจ้าตัวได้เคลียร์ตัวเองแบบหมดเปลือก พร้อมยืนยันว่าไม่ได้ตกอับ ที่ออกไปเป็นแม่ค้าขายเสื้อผ้าเพราะคิดไว้นานแล้วว่าอยากที่จะทำและยืนยันว่าจะลุยต่อทางออนไลน์ พร้อมยังอัปเดตอาการโรคซึมเศร้าที่ต้องเผชิญมาหลายปีว่าตอนนี้หายดีเกือบเป็นปกติแล้วเพราะได้กำลังใจดีๆ จากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากลูกสาวและแฟนหนุ่มที่คอยอยู่ข้างเคียงตัวเองตลอดเวลา และตอนนี้เข้าใจและสัมผัสได้แล้วว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร แย้มยังไม่คิดถึงเรื่องแต่งงาน
ถาม รู้สึกยังไงบ้างที่ทำอะไรก็เป็นข่าวไปหมดแล้วก็เป็นข่าวแรงๆ ด้วย
แตงโม นิดา : ใช่ค่ะ จั่วหัวข่าวแรงๆ ด้วยทั้งนั้น แล้วเรื่องที่เราไปเปิดท้ายขายของ เราก็ไม่คิดว่าเราจะโดน มีความรู้สึกว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งที่คนจะสนใจ แล้วนำแบบที่เราทำ ไปทำตามก็ได้ เราไม่ได้มองในแง่ลบว่าเราโดนอีกแล้ว เพราะเราอยู่มาจนตอนนี้แล้ว เราก็ต้องมีภูมิต้านทานแล้ว ที่เราออกมาทำแบบนี้ เราอยากให้รู้ว่าไม่ว่าอาชีพอะไร เราสามารถออกมาทำ มาขายของมือสองที่เรามีอยู่ เราขายของแบบนี้เป็นเรื่องปกติ และเราก็ออกมาขายของเพื่อเป็นแบบอย่าง อยากบอกใครที่มีของเยอะ ก็อย่าห่วงของเกินนะ เพราะถ้าเก็บไว้มันจะเสียของไปเปล่าๆ แต่ว่าขายดีมากเลย เราขายแบบไม่แพงนะคะ เพราะเราทั้งขายทั้งแถม ขายอยู่สี่วันได้มาหลักแสนนะคะ
ถาม ที่แตงโมเริ่มต้นออกมาขายคือเราคิดเอง หรือว่ามีคนมากระซิบบอก มีอะไรมาจุดประกาย
แตงโม นิดา : โมคิดมา 5 ปีแล้วค่ะ เพราะว่าของที่ไม่ได้ใส่แล้ว หรือว่าใส่ใม่ได้แล้ว เราก็เก็บไว้ในกระสอบ แล้วของมันเยอะมาก วางไว้แบบไม่ได้ใช้นานมากแล้วเป็น 10 กระสอบเลย แล้วเราก็มีความรู้สึกว่าทิ้งไปมันก็ไร้ประโยชน์ แบบนี้เราส่งต่อดีกว่า เพราะว่าบางคนก็อยากได้เสื้อผ้าของเราก็มีนะ แล้วเราก็ขายในราคาที่ไม่แพงมาก
ถาม พอไปขาย โมไปหลงใหลในการเป็นแม่ค้าเลยใช่ไหม
แตงโม นิดา : ใช่ค่ะ แล้วมีคนแนะนำว่าทำไมโมไม่ขายทางออนไลน์ เพราะเรายังไม่รู้เรื่องระบบแอดมินด้วย โมเลยขอไปลองลงตลาดดูก่อน เพราะเราจะได้พบได้คุยได้เจอกันกับแฟนๆ แบบต่อหน้าต่อตา แล้วทีนี้หลายคนติดช่วงโควิด เขาไม่สามารถซื้อของเราได้ แต่เขาก็บอกว่าเขาอยากได้ของเรานะ อยากให้เราไลฟ์ขายของหน่อย ก็คิดว่าเร็วๆ นี้ จะทำแบบออนไลน์ขึ้นมาค่ะ
ถาม ถ้าสมมติว่าเสื้อผ้าของเราขายหมดแล้ว เราคิดว่าเราจะทำแบรนด์ของเราออกมาขายเองเลยไหม
แตงโม นิดา : มีเคยคิดค่ะ ตอนนี้ก็ดูๆ ช่างมาตัดให้เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างยังไง เพราะว่าเพิ่งเริ่มเอง ตอนนี้ยังพอมีเสื้อผ้าที่จะไลฟ์ก่อน คงเอาตรงนี้ไปก่อนค่ะ เดี๋ยวต่อไปถ้าทำแบรนด์ คงเป็นขั้นตอนต่อไป
ถาม โมอยากพูดอะไร ตอบอะไรกับคนที่เคยพูดว่าเราตกอับบ้าง หรือหลายๆ คนที่คิดว่าอยากลุกขึ้นมาทำ แต่กลัวคนมองว่า ตกอับ
แตงโม นิดา : สิ่งนี้แหละที่สำคัญที่สุด การนำเสนอข่าวในบ้างครั้งบางที ต้องตรวจทานถ้อยคำว่ามันจะไปกระทบหัวใจของคนที่เขาอยากจะลุกขึ้นไปต่อสู้ไหม ถ้าเกิดบางคนที่เขากำลังแย่จริงๆ อย่างนี้ แล้วเขาเจอคำพูดแบบนี้ การเป็นแม่ค้าคือ การตกอับ ก็แปลว่าแม่ค้าทั้งประเทศจะกลายเป็นว่าฉันถูกบูลลี่หรือเปล่า อาชีพฉันไม่เป็นที่ยอมรับเหรอ ฉันเป็นคนตกอับหรือเปล่า เขาจะไม่เห็นคุณค่าของตัวเองแล้วเขาจะไม่มีความสุขตรงนี้สำคัญมากๆ เพราะสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่แบบนี้ เราต้องเต็มเติมใจให้กัน
ถาม ทุกคนมีคุณค่าเมื่อทำงานแล้ว แตงโมก็ลุกขึ้นมาทำงาน แต่เวลาว่างของเธอ ขาเขียวไปหมดเพราะไปเล่นเซิร์ฟสเก็ต เพราะต้องการลดน้ำหนักด้วยไหม
แตงโม นิดา : จริงๆ ก็ตั้งใจลดน้ำหนักด้วยค่ะ เพราะเมื่อก่อนหนักอยู่ 48-49 แล้วเราก็กระโดดไป 54-55 ได้ เพราะว่าช่วงโควิดแรกๆ นอนกับกินอย่างเดียวเลย แล้วกำลังกายคือไม่เคยออกทั้งชีวิต ไม่เคยออกกำลังกายเลย แล้วคุณเบิร์ดเขาก็บอกเราว่าเธอจะอยู่แบบนี้ไม่ได้ ร่างกายจะไม่แข็งแรงเลย เธอต้องออกกำลังกาย โรคภัยถึงจะหาย แล้วร่างกายของเราก็ดีขึ้นจริงๆ เราก็ควบคุมการกินของเราไปด้วยจากการเล่นเซิร์ฟสเก็ตนี่เลยค่ะ
ถาม ต้องถามในเรื่องของลูกที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ลูกมาจากไหน
แตงโม นิดา : ไม่ได้ท้องนะคะ แต่ลูกจะมีความหน้าคล้ายโมอยู่บ้าง แต่จริงๆ แล้วแม่ของน้องก็คือเพื่อนของโมตั้งแต่เด็กๆเลย คบกันมาถึงตอนนี้ก็เข้าเลขสามแล้ว ก็ยังคบกันอยู่ แล้วเขาก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวของโมด้วยค่ะ แล้วคือเพื่อนของโม เขาก็ได้เลิกกับคุณพ่อของน้องเขาไป เราสองคนเลยตั้งใจที่จะเลี้ยงเขา ช่วยกันเลี้ยงเขามาค่ะ เหมือนเราเป็นคุณพ่อเขาอีกคน เพราะว่าเราไม่ได้ให้นมเขาไงคะ (หัวเราะ) และเราก็ตั้งใจว่าเราจะสอนเขาให้เหมือนที่คุณพ่อของเราเคยสอนเราไว้บางส่วนนะคะ เช่น การศึกษาต้องสนับสนุนเต็มที่ กีฬาต้องสนับสนุนเต็มที่ แล้วลูกคิดอะไรยังไง ต้องให้อิสระกับเขาอย่างเต็มที่และเคารพในการตัดสินใจของลูก เรื่องการออมเงินสำคัญมาก หลายๆ เรื่องที่พ่อพยายามปลูกฝังมาให้โม เราก็พยายามที่จะถ่ายทอดให้เขามากที่สุด เพราะโมรู้สึกว่าที่พ่อเลี้ยงโมมาถึงทุกวันนี้ เห็นไหมค่ะว่าไม่ว่าโมจะเจออะไร จะผ่านมันมาได้หมดเลย เพราะฉะนั้นลูกต้องเข้มแข็งกว่าโมอีก เพราะว่าโลกในอนาคตมันจะน่ากลัวกว่านี้อีก
ถาม ตอนนี้ลูกกี่ขวบแล้ว แล้วเป็นยังไงบ้างที่เราต้องเลี้ยงเด็ก
แตงโม นิดา : ตอนนี้ 4 ขวบแล้วค่ะ แต่ช่วงคลอดคือหนักเลย เพราะว่าเด็กเล็กเขาจะไม่ค่อยนอน 2-3 ชั่วโมง เขาจะตื่นมากินนม แล้วคุณแม่ของเขาก็ตื่นมาให้นม เราคือคนที่กล่อมให้เขานอน ในเรื่องหลักๆ แล้ว โมอยากให้เขามีสายสัมพันธ์กับคุณแม่ของเขาให้แนบแน่นเหมือนที่โมกับคุณพ่อมีให้กัน เราทำอะไรก็จะเป็นเพื่อนกัน โมก็จะคอยซัพพอร์ตเรื่องการเงินทุกอย่างของเขา แต่ตอนนี้ก็แอบมีความกังวลนิดๆ ในช่วงโควิดกับเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะว่าเราต้องการที่จะให้เขาเรียนโรงเรียนนานาชาติ เรามองไว้ว่าเผื่อในอนาคตที่เขาอาจจะมีชื่อเสียงอะไรขึ้นมา ภาษาคือสิ่งที่สำคัญ แต่เราจะส่งเขาไปเมืองนอกคงไม่ไหว แต่เรายังไม่ได้ตัดสินใจเลย ณ ตอนนี้นะคะ ว่าเราจะเข้านานาชาติแล้ว เพราะว่าเราไม่รู้เลยว่าระบบโรงเรียน จะเรียนผ่าน Zoom ไปนานแค่ไหน
ถาม มีลูกแล้วทำให้ชีวิตของโมเปลี่ยนไปเยอะไหม
แตงโม นิดา : ทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่ามากขึ้นค่ะ เพราะเรารู้เลยว่าเราต้องเลี้ยงเด็กคนนี้ไปจนตาย ฉะนั้นเราจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลย แล้วอีกอย่างคือลูกเขาก็ช่วยโมมากๆ ในมุมอาการซึมเศร้าของเรา เพราะว่าเวลาที่เราเลี้ยงเขา เราจะอ่อนแอไม่ได้ ถ้าเรารู้สึกอ่อนแอ เราจะแยกตัวออกห่างจากเขาเลย และเวลาที่เราอยู่กับเขา เราจะทำตัวให้อายุเท่าๆ กับเขา เพื่อให้เขาไว้ใจเรามากที่สุด
ถาม อัปเดตนิดได้ไหมเรื่องอาการซึมเศร้าของเรา ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
แตงโม นิดา : ตอนนี้ 90 เปอร์เซ็นต์แล้วนะคะ เพราะเมื่อก่อนบอกได้เลยว่าชีวิตปกติของโมมีแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือคือนอนจมอยู่กับที่เตียง ข้างตู้เย็น ไม่ทานข้าว ไม่อาบน้ำ ไม่ขยับตัว แบบเราจะฆ่าตัวตายได้เลย เราเป็นแบบนั้นเป็นปีเลยนะคะ แล้วเพื่อนๆ ก็ต้องสลับวันกันมาดูว่าเรายังอยู่ไหม ซึ่งเราก็ยอมรับคนแรกๆ ของวงการเลยว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า เพราะว่าอาการนี้มันาเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งอาการนี้อยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของหมอนะคะ มีทั้งกินยาและจิตแพทย์บำบัดส่วนตัวก็มีค่ะ แต่ที่มีชีวิตปกติแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ เพราะช่วงนั้นคือเลิกกับแฟนคนก่อนแล้วก็คุณพ่อป่วยมาก เราก็จินตนาการไม่ออกว่าโมกับพ่อจะจากกันได้ยังไง จะตายจากกันตอนไหน ไม่เคยคิด เพราะด้วยความที่คุณพ่อเขาเป็นคนที่อายุมากก็จริง แต่เขาเป็นคนที่แต่งตัว เราก็จะมองว่าเขาไม่แก่ แข็งแรงตลอด ซึ่งจริงๆ แล้วเขาบอกว่าข้างในเขาไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้วนะ เพราะคุณพ่อก็ 71 แล้วและเราก็ไม่ทันตั้งตัวเลย มะเร็ง ปอดรั่วแบบเรารับไม่ได้เลย เราไม่สามารถร้องไห้ให้พ่อเห็นได้เลย
ถาม แล้วอะไรที่ทำให้โมอาการดีขึ้นมาถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากอะไร วิธีคิดหรือยาหรืออะไร
แตงโม นิดา : ทุกอย่างเลยค่ะ เพราะว่าเราต้องรักษาสารเคมีในสมองของโม ที่ดีขึ้นเพราะเป็นความรักของคนรอบตัวกับ ความรักจากพระเจ้า พอเราเข้าใกล้ศาสนามากขึ้น ความทุกข์จะเบาลง ไม่ว่าศาสนาอะไรก็ตาม แต่สำหรับศาสนาคริสต์คือไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด เราก็ไม่ต้องไปห่วงอะไรคุณพ่อ เพราะคุณพ่อไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์แล้ว ทำให้เราไม่ร้องไห้ขอพ่อคืน แต่ทุกวันนี้อะไรที่เป็นของคุณพ่อ ก็ต้องวางอยู่แบบเดิมห้ามย้าย แล้วก็ลูกคือส่วนสำคัญที่ทำให้โมหายดี แล้วก็ คุณเบิร์ดคือหนึ่งแรงสำคัญที่ทำให้โมหายดี นอกจากนั้นคือเพื่อนๆ ผู้จัดการ แม่บ้าน คือคนข้างๆ ตัวโมดีหมดเลย ตรงนี้โม ว่าคือส่วนสำคัญมาก เพราะคนรอบตัวต้องพยายามศึกษาว่าถ้าอยู่กับคนที่ป่วยโรคนี้ต้องทำตัวยังไงบ้าง คำว่าสู้ๆ ตัดทิ้งไปเลยนะคะ เพราะว่ามันสู้ไม่ได้ ถ้าสู้ได้ เราจะไม่มานอน ไม่มาเป็นอยู่แบบนี้หรอก เพราะคนที่ฟังเขาจะรู้สึกว่าไม่เข้าใจโรคที่เขาเป็นอยู่หรอก เพราะสู้ไม่ไหวจริงๆ เพราะมันเป็นเรื่องสารเคมีในสมองที่จะแบบมันสั่งให้เราไม่ทำอะไรเลย แต่ให้ใช้คำว่า อดทนนะ
ถาม แล้วคุณเบิร์ดมาช่วยเยียวยาอะไรให้โมบ้าง
แตงโม นิดา : เราดูที่เจตนาของเขาค่ะ ที่เขามารักษาดูแลเรา
ถาม ไปเจอกันได้ยังไง
แตงโม นิดา : เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไปเดินเจอกันที่ห้างที่มีบันไดเลื่อนยาวที่สุดในประเทศ แล้วเขาก็ช่วยรุ่นพี่ขายของอยู่ เขาก็เห็นเราตอนลงบันไดมา แล้วเราก็เห็นสายตาคนๆ หนึ่ง เขาก็สเป็กเรา จากที่เจอกันครั้งแรกก็มีการแลกไลน์กัน แต่สมัยนั้นเราคงคิดไปเองว่าเราสวยมาก เป็นเทพธิดา เลยไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไหร่ พอเวลาผ่านไป จนโมแต่งงานแล้วก็เลิกกัน แล้ว ก็มีแฟนใหม่ แบบต่างคนต่างไปใช้ชีวิต จนล่าสุดที่โมโสด ช่วงที่โมเป็นโรคซึมเศร้าหนักๆ อยู่ดีๆ ก็มีไลน์เด้งขึ้นมา แล้วก็มีข้อความว่า กราบสวัสดี จำเราได้ไหม เราก็ใคร เขาก็บอกว่าเบิร์ด เราก็จำได้ว่าเป็นเขา เพราะว่าในชีวิตของเราไม่มีเพื่อนชื่อเบิร์ดเลย เขาก็ถามไถ่อัปเดต เราก็ได้คุยกัน หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมาดูแลเราด้วยการเอาน้ำเต้าหู้มาแขวนไว้ที่บ้านแล้วก็ไป มาแขวนไว้อย่างเดียวจริงๆ โดยที่ไม่หวังอะไรเลย เพราะตอนนั้นสภาพเราบอกได้เลยว่าใครสามารถทำอะไรกับเราก็ได้ เพราะว่าเราชีวิตของเราปกติน้อยมาก แต่เขาก็พาเราออกไปเจอไปเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น เขาพยายามพาเราออกไปจากที่เดิมๆ ไม่ให้เรานอนจมอยู่กับที่ เราก็ค่อยๆ ดีขึ้น แล้วจากการดูแลของเขา มันไม่ใช่ความโรแมนติกอย่างเดียว เขายังให้ความอบอุ่น เหมือนพ่อดูแลลูกเลย แล้วก็ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ ยังไม่เคยทะเลาะกันสักครั้งเดียว เขาเป็นคนแรกในชีวิตเลยที่ไม่ทะเลาะกัน มันเลยมีความรู้สึกว่าเราไม่มีขยะที่จะต้องเอามาเก็บไว้ในใจเลย การซึมเศร้ามันก็เลยคลาย เพราะเรื่องพ่อเราเราทำใจได้แล้ว เรื่องลูกเราก็วางแผนให้เขาไว้แล้ว เราตัวเราเอาไว้ทีหลังก่อน ก็ทำงานทำอะไรไป แต่พอเรื่องความรักถ้าเราได้แฟนดี ทุกอย่างจบเลยนะคะ แต่ในอนาคตเราก็ไม่รู้ได้นะคะ ใครจะเปลี่ยนแปลงหรืออะไรไปยังไง แต่คิดว่าถ้าพื้นฐานมันเริ่มมาดี เวลาที่เราพูดคุยดี
ถาม พูดคุยกันเรื่องแต่งงานหรือยัง
แตงโม นิดา : ต้องยอมรับว่าเราอยู่ด้วยกันก่อนแต่งไปแล้ว ช่วงหวานแหววมันก็ดีเนอะ แต่แต่งไปทะเลาะกันตอนท้าย หนูไม่อยากวนซ้ำแล้ว คิดว่าเราลองทดลองอยู่ก่อนแต่งกันไปก่อนดีกว่า เราก็อยู่กันมาได้ 1 ปี แล้วก็ดีจริงๆ เรื่องการแต่งงานไม่ได้สำคัญสำหรับหนูเท่าไหร่ นอกจากจะเอาเงินไปทิ้ง แล้วก็ไม่มีใครสามารถมาร่วมงานเราได้หรอก แต่ถ้ามันจำเป็นต้องจัดต้องแต่งด้วยความประสงค์ของผู้ใหญ่อะไรก็ตาม ก็คงจัดเพื่อให้รู้นิดนึง ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แล้วเขาก็เอ็นดูมากกับลูกเรา แต่ถึงเรามีสัญชาตญาณในความเป็นแม่ก็จริง แต่เพราะว่าเราให้อีสเตอร์ไปหมดแล้ว เรากลัวว่าเราจะไม่สามารถให้ลูกเท่าเขา แล้วอีกอย่างโมกลัวหุ่นเจ๊ง เพราะรู้ตัวเองจริงๆ ว่าเป็นคนไม่มีระเบียบวินัย