จากกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถบิ๊กไบก์ขับชนรถเมล์สาย 82 บริเวณกลางสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ หรือ สะพานพุทธ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ ในที่เกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่าใต้ท้องรถเมล์ ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์บิ๊กไบก์ สภาพพังยับเยิน โดยมีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ นายธนวัฒน์ สุขเจริญ อายุ 18 ปี คนขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า และนายฐิติวัสส์ ธีรภาพ หรือ ชาย อายุ 19 ปี นักแสดงตัวประกอบภาพยนตร์เรื่อง หลวงพี่แจ๊ส 4G ผู้ขับขี่รถบิ๊กไบก์ (อ่านต่อ :
แฟนสาวจยย.แค้น “บิ๊กไบก์” ชนดับ – เพื่อนดาราโต้ยกล้อ ชี้ อีกฝ่ายสวนเลนประจัญ)
วันที่ 19 ก.ย. 61 “รายการต่างคนต่างคิด” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ อมรินทร์ ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.20 น. ได้เชิญ
นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ,
นายธัชชานน สุขเจริญ พี่ชายนายธนวัฒน์หรือติวผู้เสียชีวิต,
พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 3 ร่วมพูดคุยในรายการ
ธัชชานน สุขเจริญ พี่ชายนายธนวัฒน์(ติว) ผู้เสียชีวิต เผยว่า วันที่เกิดเรื่องเวลาประมาณ 02.00 น. หลังจากติวไปส่งแฟนสาวที่บางบอน แล้วขากลับติวได้ไปสะพานพุทธเพราะว่าจะซื้อของกินมาให้ครอบครัวในตอนเช้า ซึ่งติวไปครั้งแรกไม่รู้เวลาเปิดปิดเลนสะพาน ตนมองว่าน้องชายไม่ได้แข่งรถ เนื่องจากรถคันนี้เป็นรถที่ตนใช้ประจำ บิดยังไงก็ไม่ถึง 80 จากที่สอบถามพลเมืองดี 2-3 คน เขาก็พูดว่าทางฝั่งของชายขับรถยกล้อจริง แต่ทางญาติก็ยังไม่ปักใจเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์ ทางครอบครัวเชื่อว่าติวขับรถมาปกติ แต่ติวเบี่ยงหลบกลุ่มรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่บนสะพาน ทำให้ชนเข้ากับรถบิ๊กไบก์ของชายที่ขับมาซึ่งตรงนี้มีพยานบุคคลเห็น ว่าชายขับรถยกล้อ และที่ติวหลบไปจนไปอยู่ใต้ท้องรถเมล์นั้นตนเชื่อว่าเพราะติวถนัดขวา เมื่อเจอรถ จึงเบี่ยงหลบมาทางที่ถนัด ทำให้ร่างของติวโดนรถเมล์ทับ ตนไม่คิดจะเอาเรื่องชายเพราะต่างฝ่ายต่างสูญเสีย ตนไม่มีความคิดที่จะเรียกร้องอะไร เขาสูญเสียก็เครียดพอแล้ว แล้วชีวิตของน้องตีราคาเป็นเงินไม่ได้ ซึ่งญาติของชายได้มางานศพของติว ตนขอปฏิเสธว่าติวไม่ได้แชตโทรศัพท์กับแฟน ข้อความสุดท้ายที่ส่งถึงแฟนสาวเป็นข้อความเสียง ตนรู้สึกช็อกทำอะไรไม่ถูก ที่ต้องสูญเสียน้องชาย ซึ่งก่อนจะออกไป ติวบอกว่า "กูไปนาน" เหมือนเป็นลาง
นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ เผยว่า คดีนี้ตนยังไม่สรุปเพราะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ต้องรอพนักงานสอบสวนสรุปสำนวน แต่ตามเหตุการณ์บ่งชี้ไม่ได้ ซึ่งจากพฤติการณ์อาจจะเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนหรือบุคคลทั่วไป เชื่อได้ว่าเกิดจากความคึกคะนอง ประมาท การมีเจตนาที่ขับรถโดยไม่ระวัง ในสภาพพื้นถนนที่ไม่ใช่การแข่งขันกัน ถ้าเห็นใครแข่งรถ ยกล้อ มีซิ่ง ก็เป็นปัจจัยทำให้เกิดเหตุ ส่วนกรณีนี้ ต่างคนต่างฝ่าฝืนสัญญาณจราจร ประมาททั้งคู่ ปราศจากความระมัดระวัง
พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 3 เผยว่า ชายมุ่งหน้าฝั่งธน ติวไปฝั่งพระนคร ซึ่งเวลา 06.00-11.00 น.จะเป็นทางฝั่งธนที่วิ่ง 2 ช่อง และเวลา 11.00-18.00 น. รถจากฝั่งพระนครวิ่งได้ 2 ช่อง สลับกัน ซึ่งจากกรณีนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างกินเลนกันและกัน กฎหมายบอกว่าประมาท จะผิดรึถูกตอบไม่ได้ รถของติววิ่งจากฝั่งธนขึ้นมาจะวิ่งเลนกลางไม่ได้ ต้องวิ่งเลนซ้ายอย่างเดียว พอมาวิ่งช่องกลางก็มีโอกาสที่จะปะทะกันได้ ในส่วนของรถบิ๊กไบก์ ยกล้อมีความผิด แต่มีสิทธิใช้ทางในช่องกลาง ถ้าชายเจอรถเมล์สามารถใช้สิทธิในช่องกลางในการหลบได้ ส่วนคำตอบที่ว่ารถของติวทำไมไม่หลบไปทางซ้ายเนื่องจากว่ามีรถใหญ่ขวางอยู่ที่ช่องทางซ้าย จึงเบี่ยงมากินเลนของทางฝั่งชาย ระหว่างชนกันทำให้รถของติวกระเด็นไปทางขวา ที่ติวหลบไปทางนั้นอาจเป็นเพราะถนัดขวา ถ้าตอนนั้นไม่มีรถเมล์ติวอาจจะรอด และเมื่อไหร่ที่มีพยานมาบอกว่าเห็นชายยกล้อ ตรงนี้จะเป็นพยานประกอบความประมาทของชาย ซึ่งพยานวิทยาศาสตร์น่าเชื่อถือกว่าพยานบุคคล นั่นก็คือกล้องวงจรปิด ที่แสดงว่าประมาททั้งคู่ เพราะติวล่วงสิทธิการใช้ทางของชาย
พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ กล่าวต่อว่า ในกฎหมายจราจรสิ่งที่เป็นหลักเลยคือ สิทธิในการใช้ทาง และการขับขี่มีลักษณะที่วิญญูชนปฏิบัติหรือไม่ อย่างรถจักรยานยนต์ก็มีข้อบังคับว่าขับบนพื้นดิน ถ้าพบว่ายกล้อบนถนนสาธารณะ ก็ผิดกฎหมาย เป็นส่วนหนึ่งของการประมาท ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น ติวขับรถไม่เบรกไม่มีผลเพราะการประมาทเกิดขึ้นแล้ว การเบรกไม่ทันไม่ได้หมายความว่าประมาทเสมอไป ถ้าติวขับรถมาอยู่ดีๆเบี่ยงไปในช่องกลาง ถ้ามีเหตุสิ่งกีดขวางติวไม่ถือว่าประมาทเนื่องจากเป็นเหตุสุดวิสัยที่จะต้องหลบสิ่งกีดขวาง หรือพ้นอันตรายตรงหน้า แล้วหลุดมาทางเลนกลาง จะต่างกับขับรถมาบนทางโล่ง แล้วออกมาทางขวาจะแตกต่างกัน
นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ เผยอีกว่า คดีนี้จะถูกระงับถ้าตำรวจสรุปออกมาว่าประมาททั้งคู่ จะไม่มีการดำเนินคดีใดๆ แต่ถ้าญาติติดใจ อยากจะเอาเรื่อง ก็สามารถฟ้องร้องทางแพ่งได้ ศาลจะเป็นผู้พิจารณาเองว่าใครประมาทมากกว่ากันและใครควรต้องจ่ายเท่าไหร่ ก็จะอยู่ในดุลพินิจของศาล