เรื่องราวของหนุ่มน้อยเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยมูลนิธิเพชรเกษม "น้องอ้วน" นายขจรเกียรติ ปัตถาทุม อายุ 18 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้แม่คือ นางถนอมศรี ปัตถาทุม อายุ 48 ปี ติดเชื้อโควิด-19 แล้วน้องอ้วนคอยขับรถรับ-ส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลสนามอยู่แล้ว ก็ต้องมารับแม่ของตัวเองไปรักษา เฟซบุ๊กของมูลนิธิก็เผยภาพและเรื่องราวสุดประทับใจช่วงที่น้องอ้วนก้มกราบเท้าแม่ ก่อนที่จะจูงมือแม่ขึ้นรถเพื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลสนาม อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 64
ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 64 เฟซบุ๊ก มูลนิธิเพชรเกษมกรุงเทพ ได้โพสต์ภาพอีกครั้ง ระบุข้อความว่า "วันนี้คนที่เรารัก..มาจากเราไป ใครจะไปคิดว่าวันนั้นจะเป็นการกราบแม่ครั้งสุดท้ายของน้องอ้วน และแล้ววันนี้โควิดร้ายก็ได้พรากคุณแม่ของน้องอ้วนจากไป ขอแสดงความเสียใจกับน้องอ้วนที่สูญเสียคุณแม่อันเป็นที่รักยิ่งด้วยค่ะ"
ล่าสุด วันที่ 31 ก.ค. 64 เวลา 12.30 น. รถหน่วยกู้ชีพมูลนิธิเพชรเกษมได้นำร่างไร้วิญญาณของ นางถนอมศรี ปัตถาทุม แม่ของ น้องอ้วน มาถึงวัดบางปลาเค้า แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กทม. ซึ่งมีน้องอ้วน ลูกชายคนสุดท้อง ที่สวมชุด PPE ตัวแทนจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิเพชรเกษม ที่สวมชุดเครื่องแบบเต็มยศกว่า 20 คน รอรับอยู่ที่วัด
ในวินาทีที่รถหน่วยกู้ชีพมาถึงวัด น้องอ้วนก็พยายามกลั้นน้ำตาตลอดเวลา แล้วเดินเข้าไปยกโลงศพของแม่ออกจากรถด้วยตัวเอง เพื่อเคลื่อนย้ายไปยังเมรุ ตอนนั้นจะสังเกตเห็นว่าใบหน้าของน้องเริ่มแดงกล่ำ น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ก่อนที่จะนำโลงศพแม่เข้าเตาเผา และหลังจากนั้น น้องอ้วนก็ได้ก้มลงกราบแม่ตรงหน้าเตาเผาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกลั้นน้ำตาเดินออกมาหน้าเมรุ
ต่อมาในเวลา 12.37 น. ตัวแทนจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ก็ได้ทำพิธีมอบเงินช่วยเหลือให้กับน้องอ้วน พร้อมกับทำพิธีทอดผ้าบังสกุล และเผาจริงในเวลาประมาณ 12.45 น. ท่ามกลางความเสียใจของครอบครัว ที่เดินทางมาส่งวิญญาณครั้งสุดท้าย
นายขจรเกียรติ ปัตถาทุม หรือ น้องอ้วน ลูกชายผู้เสียชีวิต เปิดใจว่า ตลอด 2 อาทิตย์ที่แม่เข้ารับการรักษา ตนก็โทรคุยกันทุกวัน ซึ่งตอนที่แม่ยังรักษาตัวอยู่ใน รพ.สนาม อาคารนิมิบุตร ก็เริ่มบ่นว่าหายใจไม่ออก ตนจึงพยายามขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ จนกระทั่งมีการย้ายคุณแม่ไปรักษาต่อที่ รพ.สนามบุษราคัม แต่แม่ก็ยังบ่นว่ามีอาการเหนื่อยหอบอยู่ แพทย์จึงให้ออกซิเจน ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 64 ตนได้รับแจ้งจาก ผอ. รพ.สนามบุษราคัมว่าต้องย้ายแม่ไปรักษาที่ไอซียูสนาม รพ.มงกุฎวัฒนะ เพราะแม่เชื้อลงปอด อาการทรุด ชีพจรต่ำ จนกระทั่งเมื่อวานนี้ เวลาประมาณ 13.00 น. ตนกำลังปฎิบัติหน้าที่นำส่งผู้ป่วยกลับบ้านที่ จ.ยโสธร หมอก็โทรมาบอกว่าค่าชีพจรของคุณแม่ต่ำมาก ทีมแพทย์จึงช่วยชีวิตด้วยการทำ CPR จนแม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว 1 รอบ ค่าชีพจรก็สูงขึ้น แต่ยังอยู่ในระยะเฝ้าระวัง
ซึ่งวินาทีนั้น ตนก็พยายามภาวนาขอให้คุณแม่หายกลับคืนมา แต่สุดท้ายปาฏิหาริย์ก็ไม่มีจริง เวลา 19.05 น. หมอก็โทรมาบอกกับพี่ชายและตนว่าคุณแม่เสียชีวิตแล้ว เพราะอาการของคุณแม่กลับมาทรุดอีกรอบ ค่าชีพจรต่ำ เนื่องจากเชื้อลงปอด และมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคประจำตัว เบาหวาน ความดัน จนเสียชีวิตที่ไอซียูสนาม รพ.มงกุฎวัฒนะ
ด้วยอาการป่วยของคุณแม่ขึ้น ๆ ลง ๆ ดีขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ แย่ลง 60 เปอร์เซ็นต์ตลอด ตัวเองก็เลยพยามที่จะทำใจไว้ว่าคุณแม่อาจจะไม่รอด พร้อมกับภาวนาขอพรทุกค่ำคืน และประโยคสุดท้ายที่ตนมีโอกาสได้คุยกับคุณแม่ครั้งสุดท้ายผ่านโทรศัพท์คือวันที่ 28 ก.ค. บอกว่า แม่อย่าเพิ่งถอดใจนะครับ หายไว ๆ แม่ก็ตอบกลับมาด้วยแสงอ่อนแรงว่า "ไม่ถอดใจหรอกลูก"
ทั้งนี้ ตนเป็นลูกคนเล็กของบ้าน ยังเรียนไม่จบปริญญาตรีตามที่แม่ฝันไว้ บวกกับตอนแรกที่มาทำอาสาฯ แม่เองก็ไม่ได้ส่งเสริมมาก เพราะกลัวว่าลูกจะได้รับอันตราย แต่พอเห็นว่าลูกมีความตั้งใจจริงในการช่วยเหลือผู้อื่น คุณแม่ก็เริ่มยอมรับได้ ทำไห้ตนตั้งใจไว้ว่าหลังจากนี้ หากจิตใจเข้มแข็งขึ้นก็สัญญาว่าจะกลับไปสู้เพื่อช่วยเหลือประชาชนเหมือนเดิม จนกว่าชีวิตจะหาไม่ และที่สำคัญหากสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น ก็อยากจะบวชให้กับคุณแม่ พร้อมกับฝากข้อความไปยังคุณแม่ว่า "รักแม่มากครับ" สุดท้าย ชีวิตนี้ไม่คิดว่าจะต้องสูญเสียคนใกล้จากสถานการณ์โควิด-19 จึงอยากขอให้หน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ นำการรักษาเข้าไปให้ถึงทุกบ้านทุกครัวเรือนที่มีผู้ติดเชื้อ เพื่อลดการสูญเสีย