จากกรณี เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 61 บนถนนสายบ้านคลองปิ้ง-บ้านควนใต้ หมู่ 6 ต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ นางวิไล หมั่นเพียร อายุ 48 ปี และนายกิตติศักดิ์ วรรณบวร หรือ ชาย อายุ 28 ปี มือปืน ซึ่งเป็น 2 ผู้ต้องหา ในคดีร่วมกันฆ่า นายสวาส หมั่นเพียร อายุ 48 ปี นักธุรกิจรับซื้อไม้ยางพารารายใหญ่ ใน อ.คลองท่อม ซึ่งเป็นสามีของนางวิไล โดยนางวิไลประสานกับนายวาสนา ชายคนสนิท เพื่อร่วมวางแผนจ้างมือปืนนั้น
วันที่ 23 ก.ย. 61 ทีมข่าวเดินทางไปที่ ต.เกาะลันตาน้อย อ.เกาะลันตา
นางสาวจรีรัตน์ หมั่นเพียร น้องสาวของนายสวาส ผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า นายสวาสเป็นเสาหลักของครอบครัว เลี้ยงดูพ่อแม่พี่น้องและญาติ ๆ ซึ่งก่อนที่จะเกิดเหตุ ตนเห็นพี่ชายทะเลาะกับนางวิไล ภรรยา บ่อยครั้ง ล่าสุดก่อนเกิดเหตุทะเลาะกันรุนแรง แต่ก็ไม่คิดว่านางวิไลจะตัดสินใจก่อเหตุ ซึ่งปกตินางวิไลก็มาที่บ้านของพี่ชายตนอยู่บ่อย และไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนี้มาก่อน ไม่เคยมีปัญหากับญาติ ๆ ด้วย
โดยพี่ชายตนและภรรยา มีลูกด้วยกัน 2 คน เป็นผู้หญิง และมีลูกติดคนเล็กกับภรรยาคนที่ 2 เป็นหญิงอายุประมาณ 1 ขวบ นอกจากนี้ พี่ชายตนมีภรรยาเพียง 3 คนเท่านั้น ไม่ใช่ 4 คน ตามที่ตกเป็นข่าว คนแรกคือนางวิไล คนที่ 2 มีลูกด้วยกัน 1 คน แต่เลิกรากันไปนานแล้ว และตอนนี้ก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ส่วนคนที่ 3 คือ นางส้ม (นามสมมติ) ซึ่งเป็นคนที่พี่ชายไปหาก่อนที่จะโดนยิงเสียชีวิต
นางสาวจรีรัตน์ เล่าต่อว่า เคยเห็นนางวิไลโทรศัพท์ไปต่อว่านางส้ม อยู่บ่อยครั้ง จนมาถึงครั้งล่าสุดที่พี่ชายตนเสียชีวิต คาดว่าน่าจะมาจากการทะเลาะกัน ระหว่างนางวิไล เมียหลวง กับนางส้ม เมียคนที่ 3 จึงเป็นเหตุให้นางวิไลจ้างวานมือปืนมาสังหารสามี
นอกจากนี้ เรื่องเงินประกัน 600,000 บาทนั้น ทางครอบครัวมองว่า น่าจะเป็นการสังหารเพื่อต้องการเงินประกัน และน่าจะเกิดจากการรับไม่ได้ ที่พี่ชายตนไปมีภรรยาอื่น หลังจากที่พี่ชายตนเสียชีวิตแล้ว นางวิไลก็ได้ขายรถ 6 ล้อ และรถไถ ได้เงินมาจำนวนกว่า 700,000 บาท และนำเงินส่วนหนึ่งไปจ่ายให้มือปืน จำนวน 200,000 บาท ส่วนเงินในบัญชีของผู้ตาย ที่มีมากถึง 1,900,000 บาท เพราะพี่ชายตนมีเงินจากการทำธุระกิจ รับซื้อไม้ยางพารา รายได้ประมาณ 100,000 บาทต่อเดือน ส่วนเรื่องคดีความ ทางครอบครัวคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ
จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของนางวิไล ที่ ต.เกาะลันตาน้อย อ.เกาะลันตา โดย
นางอำไพร สิทธิมอนต์ พี่สาวของนางวิไล เปิดเผยว่า เรื่องที่มีข่าวว่าน้องสาวตนมีสามีอื่นนั้น ไม่เป็นความจริง ตนรู้นิสัยน้องตัวเองดี และเรื่องที่บอกว่าน้องสาวตนสั่งสังหารสามี เพื่อเอาเงินประกัน 600,000 บาท ก็ไม่ใช่ความจริง เพราะนายสวาสไม่ได้ทำประกันชีวิต แล้วเงิน 600,000 บาท จะได้มาอย่างไร แต่ที่น้องสาวตนตัดสินใจสั่งสังหารนายสวาสนั้น ตนไม่ทราบ คาดว่าน่าจะมาจากเรื่องที่นายสวาสมีกิ๊ก เพราะน้องสาวตนรับไม่ได้ ที่สามีตัวเองจะมีภรรยาหลายคน และนายสวาสเองก็ชอบทำร้ายนางวิไลอยู่บ่อยครั้ง ล่าสุด ก่อนที่นายสวาสจะเสียชีวิต ก็ได้ทำร้ายร่างกายนางวิไล ตนมีรอยเขียวซ้ำที่สะโพก และเอว ส่วนก่อนหน้านี้ ก็เคยเอาแกงราดหัวน้องสาวตนด้วย ดังนั้น ที่น้องตัวเองตัดสิ้นใจแบบนี้ สาเหตุหลักน่าจะเกิดจากการอัดอั้นใจไว้นาน แล้วเกิดความสะสม ทั้งเรื่องมือที่ 3 และเรื่องทำร้ายร่างกายด้วย
ทั้งนี้ เรื่องรถ 6 ล้อ และรถไถ ที่มีการอ้างว่าน้องสาวตนนำไปขาย เพื่อนำเงินไปจ่ายค่าจ้างมือปืนนั้น ตนเป็นคนให้เงินกับน้องสาวเพื่อเอามาดาวน์รถ ใช้ในการทำธุรกิจซื้อไม้ยางพารา ไม่ใช่เป็นรถของนายสวาส แต่น้องสาวตนนำรถไปขายจริง แต่หลังได้เงินมา ก็เอาไปทำบุญ ไม่ได้เอาไปจ่ายให้มือปืนที่ฆ่านายสวาส
ด้าน
นางสาวเอ (นามสมมติ) ลูกสาวคนโต อายุ 28 ปี ของนางวิไลและนายสวาส เปิดเผยว่า ตนยืนยันว่าแม่ไม่ได้มีกิ๊ก เพราะตอนที่พ่อไล่แม่ออกจากบ้าน แม่ก็ยังไม่ไป แล้วแม่จะมีกิ๊กได้อย่างไร ส่วนเรื่องทำร้ายร่างกายนั้น พ่อชอบทำร้ายร่างกายแม่จริง ครั้งล่าสุดที่ทะเลาะกันในบ้าน พ่อไม่ยอมเปิดประตูบ้านให้ตนเข้าไป ผ่านไป 30 นาที จึงยอมเปิดประตูให้ และเห็นแม่นอนคลานอยู่บนพื้น จากนั้น ตนก็ถามแม่ว่าเป็นอะไร แม่ก็บอกว่าทะเลาะกัน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเสียใจมาก และยังรักพ่อกับแม่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
นางสาวบี (นามสมมติ) ลูกสาวคนเล็ก เล่าว่า ก่อนที่แม่จะถูกจับ ตนได้พาแม่ไปหาหมอ เพราะแม่ปวดฟัน จากนั้นหลังทำฟันเสร็จกำลังออกจากคลินิก ตำรวจได้เดินเข้ามาและพาตัวแม่ไปโรงพัก ทำการสอบปากคำ ซึ่งการสอบปากคำใช้เวลาตั้งแต่ประมาณ 19.00 น. ถึงเช้าของอีกวัน หลังจากสอบปากคำแล้วเสร็จ ตนก็ถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่เองก็พูดไม่รู้เรื่องแล้ว เพราะว่ายังช็อกอยู่ ได้แค่เพียงตอบ "อื้อ อ้า" อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรต่อ และก่อนที่จะเข้าห้องขัง แม่บอกกับตนว่า "2 พี่น้องให้รักกันมาก ๆ อย่าทะเลาะกัน มีอะไรช่วยเหลือกัน" จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้ควบคุมตัวแม่ไป ล่าสุดที่ไปเยี่ยมแม่ที่โรงพัก ตนก็ไม่ได้พูดคุยกับแม่ เห็นแค่หน้ากันเท่านั้น แล้วก็ฝากข้าว ฝากน้ำ กับเจ้าหน้าที่ให้เอาเข้าไปให้