จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก "ธิติวัฒน์' เลิศรัตนโมลี" โพสต์รูปข้อความของ น.ส.ชฎาพร เพ็ญเนตรวิทย์ ภรรยาที่ท้อง 5 เดือน และเสียชีวิตจากโควิด-19 สั่งเสียเอาไว้ตั้งแต่ช่วงที่ยังไม่ติดเชื้อโควิด-19 นั้น
วันที่ 4 ส.ค. 64 ครอบครัวของ น.ส.ชฎาพร เพ็ญเนตรวิทย์ อายุ 26 ปี ผู้เสียชีวิต ได้เดินทางไปทำบุญที่วัดป้อมวิเชียรโชติการาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เพื่ออุทิศบุญกุศลให้ผู้เสียชีวิต
นายธิติวัฒน์ เลิศรัตนโมลี อายุ 26 ปี สามีของผู้เสียชีวิต ได้นำรูปถ่ายวันแต่งงานมาให้ทีมข่าวดู เจ้าตัวเพิ่งจะแต่งงานกับ น.ส.ชฎาพร เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 64 ซึ่งผ่านมาประมาณ 3 เดือน เปิดเผยว่า ตนเริ่มมีอาการป่วยประมาณ 4 วัน จึงชวนภรรยาไปตรวจและทราบว่าติดเชื้อโควิดในวันที่ 14 ก.ค. 64 ตนและภรรยาได้แยกกันรักษาคนละโรงพยาบาล
ซึ่งในวันที่ 21 ก.ค. 64 ก็ทราบข่าวว่าภรรยาอาการเริ่มทรุด และต้องเข้าห้องไอซียู และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่ตนทราบว่าตอนแรกอาการก็เริ่มดีขึ้น แต่สุดท้ายก็มาเสียชีวิตในวันที่ 2 ส.ค. 64 ที่ผ่านมา
นายธิติวัฒน์ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 3 ส.ค. 64 หลังจากที่ น.ส.ชฎาพร เสียชีวิต ตนก็ไปเจอโน้ตข้อความในโทรศัพท์ของเจ้าตัวที่เขียนสั่งเสียไว้ โดยเขียนไว้ 3 ฉบับ โดยเขียนถึงตน เขียนถึงแม่ของเจ้าตัว และเขียนถึงพ่อแม่ของตน ทันทีที่ตนเห็นข้อความ ก็ไม่กล้าอ่าน เพราะรู้สึกเสียใจ ตนจึงนำไปให้แม่ของน.ส.ชฎาพร อ่าน ซึ่งเมื่อแม่ได้อ่านก็ถึงกับร้องไห้ไม่หยุด และเมื่อตนได้อ่านข้อความที่ น.ส.ชฎาพร เขียนทิ้งเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค. 64 ซึ่งเป็นช่วงที่ยังไม่ติดโควิด
ตนก็รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของหัวใจภรรยา รู้สึกได้ถึงความเก่งและเข็มแข็งของภรรยา และตนก็จะทำในสิ่งที่เขาสั่งเสียเอาไว้ คือจะเลิกบุหรี่ และอยู่ดูแลแม่ของเขาไปเรื่อย ๆ ส่วนรูปแต่งงานตนก็ยังจะเก็บไว้ เพราะคงยังไม่มีภรรยาใหม่ และจะสู้ต่อไป เรื่องรถกระบะก็เหลือค่างวดอีก 400,000 บาท ก็จะผ่อนให้หมด ส่วนคำสั่งเสียเรื่องน้องมีตังค์ คือสุนัขเพศผู้ พันธุ์ปอม ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่ภรรยารักมาก ตนก็จะดูแลอย่างดี
ทั้งนี้ ตนคบหากับภรรยามาประมาณ 5 ปี และเพิ่งจะแต่งงานเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 64 และอยู่ ๆ ต้องมาเสียทั้งภรรยาและลูกสาวไปพร้อมกัน ก็รู้สึกช็อก และรับไม่ได้ ไม่คิดว่าเวลาแห่งความสุขจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ตนไม่อยากโทษระบบสาธารณสุขของไทย แต่เท่าที่ตนเจอมา ยอมรับว่าระบบการรักษาค่อนข้างช้า ถ้าเกิดภรรยาตนได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ ก็คงไม่เสียชีวิต ซึ่งแม้ว่าภรรยาตนจะเสียชีวิตไปแล้ว ตนก็หวังว่าระบบการจัดการการรักษาจะดีขึ้นกว่านี้
ที่บ้านพักราชการ ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร บ้านพักที่ น.ส.ชฎาพร เพ็ญเนตรวิทย์ หรือ หมิว อายุ 26 ปี ผู้เสียชีวิต กับนายธิติวัฒน์ เลิศรัตนโมลี หรือ เจมส์ อายุ 26 ปี สามี และนางธนินท์รัฐ แกล้วเกษตรกรณ์ อายุ 58 ปี แม่ของผู้เสียชีวิต อาศัยอยู่ด้วยกัน
นางธนินท์รัฐ แกล้วเกษตรกรณ์ แม่ผู้เสียชีวิต ได้พาทีมข่าวเข้าไปในห้องพัก นำรูปถ่ายของ น.ส.ชฎาพร มาแขวนไว้ที่กำแพงบ้าน และนำห่ออัฐิมาตั้งหน้ารูป รวมถึงได้ตั้งอาหาร ผลไม้ และดอกไม้มาบูชาเอาไว้ ครอบครัวเตรียมจะนำห่ออัฐิไปเก็บไว้ในเจดีย์ที่วัดใน จ.อุทัยธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิด และนางธนินท์รัฐได้นำของรักของหวงของ น.ส.ชฎาพร มาให้ทีมข่าวดู เป็นกระเป๋าสะพาย โทรศัพท์ไอโฟน และแอปเปิ้ลวอช ผู้เสียชีวิตรักของทั้ง 3 สิ่งนี้มาก เพราะหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง
นางธนินท์รัฐ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้นายธิติวัฒน์ ลูกเขย มีอาการป่วยเป็นไข้ ซึ่งทั้งลูกสาวและลูกเขยยังไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ลูกสาวและลูกเขยไปตรวจหาเชื้อโควิดที่โรงพยาบาล และทราบผลว่าติดเชื้อในวันที่ 14 ก.ค. 64 ทั้งคู่ก็ได้เข้ารับการรักษา ลูกเขยไปรักษาที่โรงพยาบาลสนามวัดโกรกกราก ส่วนลูกสาวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามท่าฉลอม
ในขณะเข้ารักษา ลูกสาวตั้งครรภ์ได้ประมาณ 5 เดือน ทราบเพศเด็กเป็นผู้หญิง แต่เมื่อไปวันแรกอาการของลูกสาวไม่ดี ถูกย้ายตัวไปที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร ซึ่งระหว่างที่ลูกสาวได้รับการรักษา ก็จะส่งรูปมาให้ดูตลอดเพื่อแจ้งอาการ
จนกระทั่งช่วงเวลา 00.20 น. ของวันที่ 21 ก.ค. 64 ลูกสาวได้โทรมาบอกว่า "แม่ หนูไม่ไหวแล้ว ช่วยพาหนูย้ายโรงพยาบาล ตอนนี้เลือดออกทางจมูกแล้ว" ซึ่งตนก็รับปากจะพาลูกย้ายโรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น แต่เวลาประมาณ 04.00 น. พยาบาลโทรมาบอกว่าลูกสาวมีอาการหนักขึ้น เริ่มเหนื่อยหอบ ชักเกร็ง จึงได้ย้ายลูกสาวเข้าห้องไอซียู และช่วงเช้าเวลา 08.00 น. หมอก็โทรมาบอกว่าอัตราออกซิเจนของลูกสาวต่ำ มีโอกาส 50% ที่ลูกสาวจะเสียชีวิต ตนก็เน้นย้ำกับหมอว่าระหว่าง น.ส.ชฎาพร กับลูกในครรภ์วัย 5 เดือน ก็ให้เลือกชีวิตและความปลอดภัย น.ส.ชฎาพร เป็นหลัก หลังจากนั้นตนก็ไม่ได้ติดต่อกับลูกอีก เพราะอยู่ในการดูแลของหมอ
กระทั่งวันที่ 25 ก.ค. 64 ลูกเขยหายป่วยก่อน และกลับมาอยู่บ้าน แต่ลูกสาวนั้นก็เริ่มทรุดลงเรื่อย ๆ ซึ่งในช่วงที่ลูกเขยกลับมาอยู่บ้าน ก็ฝันเห็น น.ส.ชฎาพร มานั่งอยู่ที่ปลายเตียงพร้อมกับลูกน้อย และพูดว่า "ฉันหายแล้วนะ ไว้ไปแก้บนกัน" ซึ่งเมื่อตนได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกตกใจ เพราะตามความเชื่อของคนโบราณ ถ้าคนป่วยมาเข้าฝันบอกว่ากำลังจะหายป่วย หมายถึงว่าเขากำลังจะเสียชีวิต ซึ่งตนก็เริ่มใจคอไม่ดี
จนในวันที่ 2 ส.ค. 64 เวลา 11.00 น. โรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาบอกว่าลูกสาวตนเสียชีวิต ตนรู้สึกช็อกมากจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตั้งคำถามว่าทำไมลูกถึงตายไวขนาดนี้ ศพลูกสาวได้เผาทันทีในวันที่เสียชีวิต เวลา 15.00 น. ที่วัดป้อมวิเชียรโชติการาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ส่วนหลานตัวน้อยที่ยังไม่เกิดมา ได้ตั้งชื่อว่า "ด.ญ.ฝนธิดา"
ในวันที่ 3 ส.ค. 64 ลูกเขยได้เจอคำสั่งเสียที่ลูกสาวตนเขียนไว้ในโน้ตโทรศัพท์ 3 ฉบับ ได้สั่งเสียกับตน ลูกเขย และพ่อตาแม่ยายเขา ตนไม่ขอเอาออกมาให้ดูเพราะมีเรื่องส่วนตัว แต่จากที่ตนอ่าน เขาสั่งเสียในส่วนของตนสรุปได้ว่า "หนูรักพ่อแม่ ถ้าหนูไม่อยู่แล้ว พ่อแม่ไม่ต้องเสียใจนานนะคะ เราแค่จากกันเพียงแค่เราไม่ได้เห็นหน้ากันเท่านั้น กินข้าวเยอะ ๆ ดูแลตัวเองดี ๆ หนูรักแม่"
จากนั้น นางธนินท์รัฐ เอามือไปจับที่ห่ออัฐิของ น.ส.ชฎาพร กล่าวว่า "น้องหมิว ให้หนูกับตัวเล็กขึ้นไปเป็นนางฟ้าและมองแม่ลงมา แม่จะเฝ้าดูหนูทุกวัน เกิดชาติหน้าฉันใดก็ขอให้เรามาเป็นครอบครัวกันอีก" อย่างไรก็ตาม การที่นำห่ออัฐิของลูกสาวมาเก็บไว้ที่บ้านนั้น ทำให้ตนมีความรู้สึกเหมือนลูกสาวยังอยู่กับตน
น.ส.นันท์นภัส พรหมมา อายุ 32 ปี พี่สาวของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ยอมรับว่ายังทำใจไม่ได้ เพราะน้องสาวจากไปเร็วเกินไป ซึ่งก่อนที่น้องสาวจะจากไปน้องเขยก็ฝันเห็นว่า น.ส.ชฎาพร พร้อมกับลูกสาวเขามานั่งอยู่ปลายเตียง และบอกว่า "ฝากดูแลแม่และให้ดูแลตัวเองดี ๆ" และเมื่อช่วงเช้าที่น้องเขยก็ฝันว่า น.ส.ชฎาพร มาบอกว่าปวดท้อง ก็ไม่รู้ว่าความฝันหมายถึงอะไร แต่คนในครอบครัวก็ยังไม่ได้ฝันถึงผู้เสียชีวิต
ตอนนี้ตนก็รู้สึกทำใจได้ยาก เพราะน้องสาวจากไปอย่างกะทันหัน และยิ่งมาเห็นคำสั่งเสียในโน้ต ก็ยิ่งทำให้จุกอกจนพูดไม่ออก เราได้แค่คิดว่าทำไมน้องของเราต้องจากไปเร็ว และรู้สึกรับไม่ได้จริง ๆ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิดตอนนี้ค่อนข้างที่จะร้ายแรง คนที่สูญเสียแล้วก็ไม่ได้มีแค่ครอบครัวของตน บางคนยังไม่ได้รักษาก็เสียชีวิตคาบ้านแล้ว จึงอยากให้ทุกคนระวังตัว ป้องกันให้มากที่สุด ตอนนี้คงไม่มีใครช่วยเราได้
น.ส.พรนภา ด่านภูมิพัฒนา อายุ 25 ปี เพื่อนของผู้เสียชีวิต เดินทางมาไหว้ห่ออัฐิของ น.ส.ชฎาพร ที่บ้าน โดยได้ไหว้ด้วยธูป 1 ดอก และไปจับที่รูปของ น.ส.ชฎาพร พร้อมกับพูดสั่งลา พร้อม เปิดเผยว่า ตนเป็นเพื่อนกับ น.ส.ชฎาพร มาตั้งแต่เรียน ม.ต้น ซึ่งติดต่อกันมาตลอด ก่อนหน้านี้ก็ไปเที่ยวด้วยกันบ่อย กระทั่งช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทราบข่าวว่าน.ส.ชฎาพร ติดเชื้อโควิด แต่ตนก็ไม่ได้ติดต่ออะไรมากนัก แต่ตนก็พิมพ์ข้อความให้กำลังใจตลอด เพราะรู้ว่าเจ้าตัวอาการหนัก กินอะไรไม่ได้ หายใจไม่ออก
กระทั่งช่วงวันที่ 21 ก.ค. 64 ก่อนที่ น.ส.ชฎาพร จะเข้าห้องไอซียู เจ้าตัวก็ทักข้อความมาหาตนว่าอาการแย่แล้ว ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าตัวก็เข้าไปห้องไอซียู และตนก็มาทราบข่าวอีกครั้งคือเพื่อนเสียชีวิตแล้ว ยอมรับว่าเพื่อนก็ยังทำใจไม่ได้ รู้สึกเสียใจมาก และสาเหตุที่เจ้าตัวเขียนโน้ตขึ้นมา เพราะคงจะรู้ตัวว่าวันหนึ่งอาจจะต้องเสียชีวิตจากโควิด ตนก็ไม่รู้ว่าน.ส.ชฎาพร ติดโควิดจากที่ไหน แต่ตนพูดไม่ออกกับการจากไปของเพื่อน เปิดรูปดูก็ได้แต่ร้องไห้ ตนได้ไหว้อัฐิของผู้เสียชีวิต บอกกับเขาว่า "อย่าโกรธที่ตนไม่ค่อยได้สนใจในก่อนหน้านี้" เพราะเจ้าตัวเป็นคนขี้น้อยใจ
บนเฟซบุ๊กของสามีผู้เสียชีวิต มีการโพสต์ภาพคู่กับภรรยา และภายในงานแต่งงาน เป็นการระลึกและร่ำลาวันที่ภรรยาติดโควิด และเสียชีวิต มีภาพคู่ของทั้งคู่อีกหลายภาพ และข้อความสุดท้ายจากจดหมายของภรรยาที่บีบหัวใจสำหรับทุกคนที่ได้อ่านข้อความนั้น