เปิดภาพลับ รองผอ.ถูกปาดคอเจอรถผัวแวะบ้าน ญาติช็อกเช้าพี่ตาย - เย็นมีอีกศพ (คลิป)

จากกรณี เมื่อเวลา 19.00 น. ของวันที่ 3 ส.ค.64 ตำรวจ สภ.พนัสนิคม รับแจ้งมีเหตุฆาตกรรมภายในหมู่บ้าน ตำบลไร่หลักทอง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ตรวจสอบที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิต นางจันทราณี สันติธรรมากร อายุ 61 ปี รองผู้อำนวยการโรงเรียนบุญญวิทยาคาร เขตเทศบาลพนัสนิคม อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี มีบาดแผลถูกของมีคมที่ลำคอแขนซ้าย และหน้าท้องที่เสียชีวิตในห้องน้ำ บาดแผลกว่า 10 รอย ศพอยู่ที่หน้าบ้าน

นอกจากนี้ ได้รับรายงานว่ามีบ้านอีก 1 หลังในหมู่บ้านเดียวกัน มีผู้เสียชีวิตจากการลื่นล้มเสียชีวิตชื่อ นายชูศักดิ์ สันติธรรมากร อายุ 70 ปี เป็นพี่ชายของนายชูชาติ สามีผู้ตาย เบื้องต้น ตำรวจสันนิฐานว่าอาจเป็นเหตุฆ่าชิงทรัพย์ แต่ไม่มีทรัพย์หายไป คาดว่าคนร้ายอาจจะรีบหนีไปก่อน

ล่าสุด วันที่ 4 ส.ค. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน จากตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าของคดี มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในหมู่บ้าน โดยเฉพาะเส้นทางเข้าออก ซึ่งโฟกัสไปที่โตโยต้า สีบรอนซ์ของคนตาย และรถต้องสงสัยที่ขับผ่านเข้าออก โดยเฉพาะรถของสามีและคนในบ้านที่เกี่ยวข้องกับคนตาย

มีกล้องวงจรปิด ทางเข้าออกหมู่บ้าน รถเก๋งคนตายขับออกหมู่บ้านเพื่อไปทำงานที่โรงเรียน ช่วงเวลา 08.39 น. มีเพียงรถเก๋งของคนตายขับออกหมู่บ้าน แต่ไม่มีรถของสามีขับตาม เนื่องจากสามีออกจากบ้านหลังจากคนตาย

จนกระทั่งเวลา 11.21 น. รถเก๋งของคนตายขับย้อนกลับเข้ามาภายในหมู่บ้าน แล้วไม่ขับกลับออกไปอีก ซึ่งกล้องวงจรปิดทางเข้าหมู่บ้าน เห็นรถเก๋งคนตายขับเข้าหมู่บ้านหลังไปทำงาน แต่ไม่ขับกลับออกไปอีก จากนั้น กล้องเพื่อนบ้านก่อนถึงบ้านที่เกิดเหตุ จับภาพรถเก๋งของคนตายขับผ่านข้างบ้าน ก่อนที่จะเลี้ยวขวานำรถไปจอดที่หน้าบ้านที่เกิดเหตุ

ต่อมาเวลา 14.24 น. รถฟอร์จูนเนอร์สีดำ ซึ่งเป็นรถของสามีคนตาย ได้ขับเข้ามาภายในหมู่บ้าน กล้องวงจรปิดจับภาพวินาทีที่เห็นรถผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน ส่วนกล้องเพื่อนบ้านก่อนถึงบ้านที่เกิดเหตุ จับภาพวินาทีรถกระบะฟอร์จูนเนอร์ของสามีคนตายขับผ่านกล้องตัวดังกล่าวไปจอดที่ถนน ไม่ได้ไปจอดที่หน้าบ้าน

จากนั้น ช่วงเวลา 14.36 น. เห็นรถฟอร์จูนเนอร์ของสามีคนตายขับผ่านกล้องออกไปหน้าหมู่บ้าน แต่ไม่สามารถบันทึกได้ในช่วงเวลาที่สามีของคนตายขึ้นลงรถฟอร์จูนเนอร์ เห็นแต่เพียงรถผ่านกล้อง และเห็นฟอร์จูนเนอร์สามีคนตายขับผ่านออกไปหน้าหมู่บ้าน

นายธนบดี สกุลแสง หรือ ป๋อง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 11 ต.ไร่หลักทอง เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ตนเองได้รับแจ้งเหตุว่าเพื่อนบ้านไม่สามารถติดต่อนายชูศักดิ์ สันติธรรมากร อายุ 70 ปี บ้านพี่ชายของสามีครูหลังแรกที่เจอศพได้ หลังจากที่พบว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าและไฟในบ้านเปิดเอาไว้ แต่เมื่อตะโกนเรียกไม่มีคนออกมาพูดคุยด้วย ตนเองจึงได้เข้าไปที่เกิดเหตุ ตัดสินใจปีนรั้วเข้าไปนำกุญแจมาเปิดรั้วใหญ่ ชักชวนให้ชาวบ้านขึ้นไปเป็นพยาน เมื่อสำรวจบริเวณชั้น 1 ไม่พบนายชูศักดิ์ จนกระทั่งขึ้นไปที่ห้องน้ำชั้น 2 พบว่าน้ำเปิดทิ้งเอาไว้ ในห้องน้ำมีร่างของนายชูศักดิ์นอนคว่ำหน้าลักษณะเหมือนกบ หัวทิมไปที่ข้างชักโครก เสียชีวิตแล้ว จึงได้มีการติดต่อญาติ และคนสนิทของนายชูศักดิ์

ตอนนั้นมีเพื่อนบ้านขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปที่ซอย 5 บ้านที่ครูโดนฆ่า ตะโกนเรียกหาคนในบ้าน ไม่มีใครตอบกลับเหมือนกัน มีเพียงรถที่จอดขวางอยู่หน้าบ้าน จึงได้ตัดสินใจโทรหาสามีของครูจันทราณี เมื่อสามีมาถึงในช่วงเวลา 16.34 น. ก็ได้ขับมาที่ซอย 3 บ้านหลังแรก ซึ่งเป็นบ้านของพี่ชายสามีครู เข้ามาดูสภาพศพของพี่ชายที่นอนเสียชีวิตอยู่ภายในห้องน้ำ

จากนั้นญาติพี่น้องและหลาน ๆ ก็เริ่มทยอยมาที่บ้านหลังแรก จนกระทั่งมีเพื่อนบ้านบอกว่าไปตะโกนเรียกครูที่บ้านไม่มีใครตอบ แต่เห็นรถจอดอยู่หน้าบ้าน จึงได้บอกให้สามีครูทราบ หลังจากนั้นสามีครูก็ได้ขับรถกลับบ้าน กลับพบว่าภรรยาถูกแทงและปาดคอเสียชีวิตอยู่ภายในห้องน้ำชั้นล่าง จึงได้ตะโกนขอความช่วยเหลือเพื่อนบ้านให้เข้ามาดู

ตอนนั้นทุกคนตกใจ จึงได้มาเรียกตนเองที่บ้านหลังแรก เพื่อไปดูศพของครูที่บ้านหลังที่ 2 เมื่อไปถึงพบว่าญาติและตัวสามีได้มีการยกอุ้มร่างของครูออกมาจากห้องน้ำ พร้อมกับใช้กระดาษทิชชูชับเลือด ลักษณะทำเป็นก้อนยัดเอาไว้ที่คอตามบาดแผล เบื้องต้นไม่รู้ว่าเสียชีวิตมานานแค่ไหน แต่บางส่วนก็เห็นเลือดเริ่มแข็งตัว ทุกคนก็พยายามช่วยกันปฐมพยาบาลและช่วยกันปั๊มหัวใจ แต่ตอนนั้นเห็นว่าร่างกายของครูเริ่มซีดและแข็งตัวแล้ว

หลังจากที่เกิดเหตุขึ้น เมื่อคืนตนเองได้ไปนั่งย้อนกล้องวงจรปิด เพื่อตรวจสอบบุคคลต้องสงสัย ความเคลื่อนไหวของบ้านหลังดังกล่าวเกี่ยวกับรถเข้าออก พบว่าหลังจากที่ภรรยาที่เป็นครู ขับรถเก๋งออกไปทำงานช่วงเช้า หลังจากนั้นเวลาประมาณ 11.00 น. เศษ ได้ขับรถย้อนกลับมาในหมู่บ้าน เพื่อกินข้าวเที่ยงและเตรียมเอกสารก่อนกลับไปทำงานที่โรงเรียนต่อ แต่หลังจากที่เห็นรถเก๋งของคนตายขับเข้ามาแล้วไม่พบว่าขับออกไปอีก และพบรถฟอร์จูนเนอร์ของสามีคนตายขับเข้ามา ช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. เศษ แต่ก็เข้ามาประมาณ 2-3 นาที ก็ขับกลับออกไปจากหมู่บ้าน ดังนั้นตนเองก็ไม่รู้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวมีรถคันอื่นเข้ามาอีกหรือไม่ เพราะเห็นความเคลื่อนไหวเฉพาะรถของคนตายและรถของสามีที่เข้าออกหมู่บ้านในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกัน กลับกลับเข้ามาอีกครั้งในเวลา 16.30 น. กลับมาดูศพของพี่ชาย ตนเองไม่รู้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคนภายในมากน้อยเพียงใด แต่ก็คงปล่อยให้เป็นไปตามหน้าที่ของตำรวจ

นายชนะสมบัติ แพงพันธุ์ อายุ 59 ปี คนสนิทของบ้านหลังเกิดเหตุ เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้หลังจากที่ตนเองรับแจ้งว่าบ้านที่อยู่ห่างถัดออกไป 3 ซอย บ้านจุดที่ 1 ซึ่งเป็นบ้านของนายชูศักดิ์ สันติธรรมากร อายุ 70 ปี เป็นพี่ชายของสามีผู้ตาย จุดที่ 2 นอนเสียชีวิตอยู่ภายในบ้าน แต่เบื้องต้นคาดการณ์ว่าเป็นการเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว ลักษณะอาการเริ่มล้มอยู่ภายในบ้าน ทุกคนจึงได้เดินทางไปที่บ้านหลังดังกล่าวเพื่อตรวจสอบ

จากนั้น ทุกคนพยายามติดต่อครอบครัวของคนตาย โดยมีเพื่อนบ้านได้แต่ควรยืนเรียกอยู่ที่หน้าบ้านจุดเกิดเหตุ จุดที่ 2 แต่พบว่าไม่มีคนในบ้านเปิดออกมาพูดคุย จึงได้มีการโทรศัพท์หาสามีของคนตาย เมื่อติดต่อได้แล้ว สามีของคนตายก็ได้เปิดบ้านเข้าไป พบว่าภรรยานอนเสียชีวิตอยู่ภายในห้องน้ำ จึงได้เรียกให้เพื่อนบ้านเข้าไปช่วยเหลือ และมีการนำร่างย้ายออกจากห้องน้ำมาช่วยกันปั๊มหัวใจอยู่ที่ลานหน้าบ้าน แต่เพราะว่าตอนนั้นไม่มีชีพจรแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเสียชีวิตมานานแค่ไหนแล้ว

ส่วนตัวในฐานะคนรู้จักกับบ้านหลังดังกล่าว ยืนยันว่าสามีภรรยาที่อาศัยอยู่ในบ้าน จุดที่ 2 ทั้งคู่เป็นคนมีจิตใจอบอ้อมอารี และช่วยเหลือเพื่อนบ้าน ไม่มีพฤติกรรมทะเลาะ หรือใช้ความรุนแรง ดังนั้นจึงไม่รู้สาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ภายในบ้าน แต่ถ้าหากเป็นเรื่องของการชิงทรัพย์ ตนเองก็อยากจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามตัวคนก่อเหตุมาดำเนินคดีโดยเร็ว เพราะถือว่าเป็นคดีอุกอาจ

ทีมข่าวสังเกตว่าที่บ้านมีพระเครื่องหรือผ้ายันต์ติดรอบบ้าน เนื่องจากเป็นเรื่องของความเชื่อและหลักฮวงจุ้ย อีกทั้งประตูทางเข้าบ้านก็ยังมีพระหรือผ้ายันต์ติดเต็มด้านบนประตู

ทีมข่าวเดินทางลงพื้นที่บ้านจุดเกิดเหตุ มีรั้วรอบขอบชิด ช่วงที่ทีมข่าวลงพื้นที่ บ้านยังคงปิดเงียบ มีเพียงชุดสืบสวนลงพื้นที่แกะรอยหาเบาะแสคนร้าย เรียกสอบเพื่อนบ้าน ภายในบ้านมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่หลายจุด แต่ระบบการบันทึกภาพใช้การไม่ได้ ส่วนกองเลือดบริเวณโรงจอดรถหน้าบ้าน หลังจากที่มีการเคลื่อนย้ายร่างของนางจันทรามณีออกจากจุดแรก ภายในห้องน้ำ มาวางไว้ที่โรงจอดรถ พบว่าบางส่วนมีการล้างคราบเลือดออกไปแล้ว

ทั้งนี้ ฝั่งซ้ายเพื่อนบ้านที่สนิทกันกับคนตาย มีคนอาศัยอยู่ที่บ้านตลอดเวลา เนื่องจากมีคนแก่ป่วยอยู่ในบ้าน มีญาติพี่น้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนฝั่งขวาของบ้านเลี้ยงสุนัขเอาไว้ 5 ตัว เมื่อมีคนแปลกหน้าเดินเข้าใกล้ก็จะเห่าส่งเสียงดัง หากคนร้ายมีการเข้าบริเวณด้านข้างจึงมีโอกาสเป็นไปได้น้อย

ส่วนบริเวณด้านหลังบ้าน ใกล้กับโซนที่เป็นห้องน้ำจุดเกิดเหตุ ชั้น 1 สังเกตว่าเป็นรั้วบ้านที่ปีนได้ง่าย แต่เนื่องจากเป็นบ้านที่มีรั้วติดกับตัวบ้าน หากดูจากตำแหน่งของบ้าน มีทางเดียวที่คนร้ายจะเข้าไปก่อเหตุได้คือต้องเข้าบริเวณด้านหน้าบ้าน โดยเฉพาะรั้วหรือประตูรั้วเท่านั้น

นายอาชวิน สงคราม หรือ ซี เพื่อนบ้านฝั่งขวา เปิดเผยว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุตนเองอาศัยอยู่ภายในบ้าน ช่วงเช้าจนถึงเย็น ไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ ถ้าหากจะมีคนร้ายปีนรั้วเข้าไปก่อเหตุฝั่งขวา มีความเป็นไปได้ยาก ถ้าหาคนร้ายจะปีนรั้วเข้าไปทางฝั่งซ้ายก็ไม่สามารถทำได้อีก เนื่องจากมีสุนัข 5 ตัว จะส่งเสียงดังและไล่กัดคนแปลกหน้า ด้านหลังก็มีบ้านเพื่อนบ้านปลูกติดกัน ก็มีการทำบ้านลักษณะก่อกำแพงสูง หากคนก่อเหตุจะเข้าไปก็จะต้องเข้าจากด้านหน้าบ้านเท่านั้น มุมส่วนตัวตั้งข้อสังเกตว่าหากจะเข้าประตูด้านหน้า ก็ต้องมีการใช้กุญแจเปิดเข้าไป หากมีเพื่อนบ้านหรือใครไปหาก็ต้องมีการกดกริ่งหรือเรียกคนด้านในจึงจะออกมาเปิดให้

ในวันดังกล่าว หลังนางจันทราณีเข้ามาถึงบ้านในช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. ก็ปิดตัวเงียบอยู่ภายในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหน แต่จะมีเพียงแฟนของคนตายเท่านั้น ที่กลับมาในช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. ไม่นานก็กลับออกไปอีก ช่วงที่ทั้งคู่เข้ามาเจอกันที่บ้านก็ไม่ได้มีปากเสียงหรือคนร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ

หลายครั้งที่บ้านหลังดังกล่าวมีการจัดกิจกรรม ตนเองก็มีโอกาสได้เข้าไปภายในบ้าน สังเกตว่านางจันทราณีจะอาศัยอยู่กับสามี ส่วนลูก ๆ อาศัยอยู่ที่อื่น ทั้งคู่ก็รักใคร่กันดี คอยช่วยเหลือเพื่อนบ้าน รวมถึงทักทายกับเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี ไม่มีแนวโน้มว่าจะทะเลาะรุนแรงถึงขั้นทำร้ายกัน มีขึ้นเสียงหรือตะโกนใช้เสียงดังบ้างบางครั้ง เพราะต่างคนต่างเริ่มมีอายุมาก เป็นเรื่องปกติของบ้านนี้ แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นทะเลาะกันรุนแรง จึงไม่รู้ว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเรื่องอะไรกันแน่

ป้าดา (นามสมมติ) เพื่อนบ้านด้านหลัง พาทีมข่าวไปดูบริเวณรั้วที่ติดกับบ้านของคนตาย รั้วความสูงประมาณ 160 เซนติเมตร ประตูหลังบ้านของผู้ตายเป็นประตูห้องครั้วทำด้วยไม้ มีการปิดล็อกกลอนเป็นอย่างดี ส่วนประตูกระจกซึ่งเป็นโซนเข้าหลังบ้านอีกบาน ก็ไม่ได้มีร่องรอยของการถูกทุบหรืองัด ช่วงเวลาเกิดเหตุ ป้าดาล้างจานและรีดผ้าอยู่โซนครัวหลังบ้าน ติดกับห้องน้ำที่นางจันทราณีถูกปาดคอจุดแรก

ป้าดา เปิดเผยว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ตนเองทำธุระและอยู่ใกล้กับโซนครัว ตนอาศัยอยู่บ้านเพียงคนเดียว อยู่ไม่ไกลจากรัศมีห้องน้ำที่เกิดเหตุ หากมีการถูกฆาตกรรมหรือทำร้ายร่างกายภายในห้องน้ำ ตนเองนั่งรีดผ้าอยู่ไม่ไกลก็ต้องได้ยินเสียงคนตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ในช่วงบ่ายจนถึงเย็นไม่มีเสียงคนร้องตะโกน ช่วงประมาณ 16.00 น. เศษ ได้ยินเสียงคนร้องกรี๊ดเสียงดัง 3 ครั้ง แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่คาดการณ์ว่าเป็นช่วงที่คนในบ้านไปเจอศพของนงจันทราณีนอนเสียชีวิตอยู่ภายในห้องน้ำ

ที่สำคัญหากมีคนร้ายปีนรั้วบริเวณหลังบ้านเข้าไปที่บ้านที่เกิดเหตุ ก็ต้องมีการผ่านเข้ามาภายในรั้วบ้านของตนเอง ซึ่งมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ อีกทั้งตนเองก็นั่งอยู่ในบ้าน ยืนยันว่าโซนหลังบ้านไม่มีคนแปลกหน้าเข้ามาปีนรั้วอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ตนเองทักทายและพูดคุยกับผู้ตายเป็นประจำ คนตายเป็นคนอัธยาศัยดี เจอกับเพื่อนบ้านก็จะทักทายพูดคุยและชวนกันออกกำลังกายเป็นประจำ ในช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้สังเกตว่าเจ้าตัวดูมีลักษณะซูบผอม ก็ไม่รู้ว่ามีปัญหาทางสุขภาพหรือไม่ แต่ถ้าหากจะมองว่าเป็นการตัดสินใจฆ่าตัวตาย ตนเองคิดว่าคงไม่ทำ เนื่องจากไม่ได้มีอาการป่วยหรือต้องเข้ารับการรักษาเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า ที่สำคัญตนเองก็สังเกตว่าตัวของสามีและภรรยาที่เค้าอยู่ร่วมกันในบ้าน ไม่ได้มีพฤติกรรมว่าทะเลาะหรือมีปากเสียงกันรุนแรง

ด้านนางสาววชิรา ศุกระกาญจนะ หรือ อ้อย อายุ 53 ปี เพื่อนบ้านของคนตาย เปิดเผยว่า ตนเองเป็นคนที่ทักทายและพูดคุยกับคนตายเป็นประจำ สังเกตว่าช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุเจ้าตัวอยู่ในอาการชูบผอม คล้ายกับคนป่วย แต่ก็เท่าที่ทราบเจ้าตัวมีอาการโรคกระเพาะ เป็นกดไหลย้อน รับการผ่าตัดดวงตา ก่อนหน้านี้ยังเคยเข้ารับการผ่าตัดมดลูก ก็ไม่รู้ว่าอาการป่วยจะทำให้เจ้าตัวคิดสั้นหรือไม่ แต่ยืนยันว่าเป็นคนร่าเริง แจ่มใส ไม่มีแนวโน้มว่าจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

ในวันก่อนที่จะเกิดเหตุ ช่วงเย็นตนเองได้พูดคุยกับคนตาย ตอนนั้นพากันไปเยี่ยมยายคนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะอายุมาก ช่วยเหลือตนเองยากลำบาก คนตายก็หลุดว่า "ตนเองคงไม่อยู่ถึงขั้นนี้หรอ" อาจจะหมายความทำนองว่าจะไม่แก่หรืออยู่ในอาการเจ็บปวดแบบนี้ ฉะนั้นถ้าหากจะมองว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ตนเองจึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ และเมื่อเทียบกับบาดแผลที่เกิดขึ้นตามตัว ถ้าหากดูจากการกรีดข้อมือหรือแขน ก็พอจะเดาออกว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีรอยแผลลึกที่คอแบบนั้น ดังนั้นจึงอยากให้ตัดประเด็นเรื่องการฆ่าตัวตายออก

ขณะเดียวกัน ย้อนกลับไปประมาณ 5-7 ปีก่อน บ้านของคนตายเคยทะเลาะมีปากเสียงกับบ้านหลังหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องของการย้ายเสาไฟฟ้า บ้านฝั่อีกฝ่ายย้ายมาอยู่ทีหลัง พร้อมกับการรีโนเตทบ้าน แต่ต้องการที่จะให้มีการย้ายเสาไฟฟ้าจากหน้าบ้านของฝั่งตรงข้ามมาไว้ฝั่งบ้านของคนตาย แต่ก็ตกลงกันได้โดยมีผู้ใหญ่บ้านเข้ามาเป็นตัวกลาง หลังจากนั้น บ้านของคนตายและบ้านของอีกฝ่ายก็ยังทะเลาะเกี่ยวกับแสงไฟของรถที่ส่องเข้าบ้านกันและกัน ทุกครั้งที่บ้านฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีการถอยรถเข้าบ้าน จะสาดไฟใส่ฟังอีกบ้านหลังหนึ่ง จนต้องถึงขั้นติดกล้องวงจรปิด แต่ช่วงระยะหลังทั้ง 2 บ้านก็ไม่ได้มีการทะเลาะหรือพูดคุยอะไรกัน ต่างคนต่างอยู่ ตนเองจึงเชื่อว่าไม่น่าจะถึงขั้นฆ่าแกงกันได้

นอกจากนี้ นายชูชาติ หรือ เฮียไฝ สามีคนตาย เดินทางมาให้ปากคำที่โรงพัก สภ.พนัสนิคม จากนั้นได้รีบขึ้นรถออกจากโรงพักไปโดยทันที ส่วนร่างของคนตาย ทั้งนายชูศักดิ์ และนางจันทราณี ญาติยังไม่ได้ติดต่อรับศพกลับมาตั้งบำเพ็ญกุศล เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจชันสูตรพลิกศพ และตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนที่จะอนุญาตให้ญาตินำร่างกลับไปตั้งบำเพ็ญกุศล

นางสาวเดือน (นามสมมติ) หลานสาวของสามีคนตาย คนที่เข้าไปช่วยเคลื่อนย้ายร่าง เปิดเผยว่า วันดังกล่าวตนเองเดินทางไปที่บ้านหลังแรก เป็นบ้านที่พี่ชายของสามีคนตายเสียชีวิต ตอนนั้นยอมรับว่ายุ่งกับการเคลียร์พื้นที่ รวมถึงการให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเมื่อมีคนแจ้งว่าอีกบ้านมีคนตาย ด้วยความตกใจก็เลยพากันไปดู เมื่อไปถึงไม่ได้คิดอะไร สิ่งแรกที่คิดก็คือคนตายลื่นล้มในห้องน้ำ เพราะตอนนั้นเห็นแต่เลือด แต่ไม่ได้เห็นบาดแผล เนื่องจากไฟค่อนข้างมืด ตนเองและหลานอีกคนพร้อมด้วยสามีของคนตาย จึงได้ช่วยกันอุ้มร่างออกจากห้องน้ำมาวางไว้ที่ร้านกลางแจ้ง คิดว่าตอนนั้นยังไม่ตาย แต่พอนำมาวางและเห็นบาดแผลก็คิดว่าไม่รอด จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่เข้ามาที่เกิดเหตุทันที

ทีมข่าวได้พยายามสอบถาม หลานของคนตาย เกี่ยวกับประตูทางเข้าด้านหน้าที่ต้องใช้รีโมตไฟฟ้าเข้าบ้าน มีความเป็นไปได้หรือไม่ คนนอกสามารถเข้าไปภายในบ้านโดยไม่มีกุญแจ เจ้าตัวบอกว่าตนเองไม่ค่อยได้ไปที่บ้านหลังดังกล่าวนานแล้ว จึงไม่รู้ว่าการเข้าออกเป็นอย่างไร แต่เมื่อไปถึงพบว่าสามีของคนตายมีการเปิดบ้าน ทุกคนก็ได้เข้าไปช่วยกันอุ้มร่างออกมาเท่านั้น