กรณีแพทย์หญิงรายหนึ่ง จ.นครศรีธรรมราช ขนญาติและคนในครอบครัวมารับวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 13 ส.ค.64 ที่ผ่านมา โรงพยาบาลได้เบิกจ่ายวัคซีนออกมา จำนวน 11 ขวด ซึ่งจะมีผู้ได้รับวัคซีนเป็นบุคลากรด่านหน้า จำนวน 66 คน มารอรับวัคซีน
โดยวัคซีนไฟเซอร์ 1 ขวด จะสามารถฉีดให้กับบุคคลากรได้ 6 คน แต่มีเทคนิค คือ แต่ละขวดหากใช้วิธีการ Low Dead Space Syringe จะสามารถดึงวัคซีนฉีดได้ถึง 7 คน โดยปกติแต่ละขวดจะฉีดเพียง 6 คน หรือ 6 โดสเท่านั้น แต่ผู้ที่มารับวัคซีนที่เหลือ 1 โดส กลับเป็นครอบครัวของแพทย์หญิงคนดังกล่าว
ขณะเกิดเหตุก็มีแพทย์หญิงคนนี้ คอยกำกับอยู่ตลอดเวลา ซึ่งครอบครัวของแพทย์หญิงที่เข้ามาฉีดวัคซีนนั้น ไม่มีใบเซ็นยินยอมรับวัคซีนและไม่มีสติ๊กเกอร์ LotVaccine รวมถึงไม่มีการส่งเอกสารเข้าระบบ MOPHIC โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพไว้ได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้สร้างความอึดอัดให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จึงรายงานให้ ผอ.โรงพยาบาลทราบโดยทันที กระแสแพทย์หญิงคนดังกล่าวถูกกระแสสังคมโจมตีอย่างหนัก จึงได้แสดงความประสงค์ที่จะยื่นใบลาออกจากตำแหน่งแพทย์ปฏิบัติการของโรงพยาบาลดังกล่าว แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ปรากฏเอกสารอย่างเป็นทางการ
ล่าสุดวันที่ 16 ส.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี รายงานว่า ผู้บริหารของโรงพยาบาลดังกล่าว เตรียมรายงานให้ส่วนจังหวัดรับทราบ ส่วนสสจ.นครศรีธรรมราช ได้ตั้งกรรมการสอบสวนแล้ว โดยนพ.กฤษณ์ เพชรสำรวล แพทย์ชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการ ให้ข้อมูลว่า แพทย์หญิงท่านนี้ได้ยื่นเอกสารลาออกแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่ตนยังไม่สามารถที่จะให้ข้อมูลได้ จะต้องรอแถลงจาก สสจ.จ.นครศรีธรรมราช อย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับบุคลากรด่าหน้าของ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช จึงได้พบกับ น.ส.จินตนา เอี่ยมน้ำ อายุ 47 ปี เจ้าหน้าที่ อสม.และเป็นกู้ภัย ต.นาเหรง อ.นบพิตำ เปิดเผยว่า กรณีที่แพทย์หญิงคนดังกล่าวยื่นใบลาออกนั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว เพราะเขาเอาเปรียบประชาชนและเพื่อนร่วมงาน ตนเคยเห็นแพทย์หญิงคนดังกล่าวบ้าง แต่ก็ไม่มีความสนิทสนมกัน ไม่คิดว่าเขาจะกล้าขโมยวัคซีนให้ญาติตัวเอง ยอมรับว่ารู้สึกน้อยใจ เพราะตนทำงานกู้ภัย และเป็น อสม. ถือเป็นบุคลากรด่านหน้าเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์
ทั้งนี้ ตนก็อยากจะถามหมอว่า "ทำไมต้องทำอย่างนั้นกับพวกเราด้วย" ทั้ง ๆ ที่พวกตนทำงานมีความเสี่ยงเหมือนแพทย์ แต่กลับได้ฉีดแค่วัคซีนซิโนแวค ซึ่งตนก็อยากฉีดวัคซีนไฟเซอร์ หรือซิโนฟาร์มอย่างคนอื่นบ้าง แต่กลับไม่มีรายชื่อได้สิทธิ์เหมือนคนอื่น
อย่างไรก็ตาม ตนก็คงไม่โกรธแพทย์รายนี้ที่ก่อเหตุขโมยวัคซีน แต่ตนอยากจะบอกกับว่า "ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับวัคซีนเท่าเทียมกัน แต่ไม่ใช่ว่าหมอจะแอบเอาญาติพี่น้องของตัวเองมาแซงคิวคนอื่น เพราะบุคลากรด่านหน้าทุกคนก็กลัวที่จะติดเชื้อโควิด-19"
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี สอบถามไปยังบุคคลากรด่านหน้า ซึ่งนั่งรอฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในขณะที่เกิดเหตุ ให้ข้อมูลว่า ตนสังเกตเห็นว่าแพทย์หญิงคนดังกล่าว เดินเข้ามาในสถานีฉีดวัคซีนเพียงคนเดียว แต่ในช่วงเรียกคิวฉีดที่ 7-12 พี่สาวของเขาก็เดินเข้ามาในสถานีฉีดวัคซีน โดยที่ไม่เข้าแถวตามคิว เดินอ้อมมาทางหลังเจ้าหน้าที่ และนั่งตรงจุดฉีดวัคซีน ตนเห็นเขายืนกำกับและพูดคุยกับพยาบาล แต่ไม่รู้ว่าพูดว่าอะไร หลังจากนั้นพยาบาลก็ได้ฉีดวัคซีนให้ และนั่งพักรอดูอาการอีก 30 นาที
แต่หลังจากพี่สาวของแพทย์หญิงคนนี้เดินออกไปแล้ว แม่ของแพทย์หญิงคนนี้ก็เดินเข้ามานั่งรอที่สถานีฉีดวัคซีนอีกคน หลังจากนั้นก็มีโทรศัพท์จากผู้บริหารแจ้งว่าขอให้ระงับการฉีดทันที แต่ตนก็ไม่มั่นใจว่าแม่ของเขาจะได้ฉีดวัคซีนด้วยหรือไม่
ทนายเกิดผล แก้วเกิด ให้ข้อมูลว่า เรื่องแบบนี้ความผิดสำเร็จแล้ว แต่ต้องแยกเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ 1.ถ้าเป็นการใช้สิทธิ์พิเศษในฐานะหมอ ใส่ชื่อญาติให้ได้ฉีดไฟเซอร์ กรณีนี้จะเป็นความผิดวินัย เพราะถือว่าฝ่าฝืนนโยบายของกระทรวง สธ. ที่ให้ฉีดเจ้าหน้าทีด่านหน้าก่อน และถ้าแพทย์หญิงลาออกความผิดก็จะถือว่าจบไปด้วย
2.ถ้าเป็นการลงทะเบียนเท็จ โดยระบุว่า ญาติเป็นบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้ได้ฉีดไฟเซอร์ กรณีนี้เข้าข่ายแจ้งเท็จ ซึ่งจะมีความผิดอาญา แม้ลาออกไปแล้วก็ต้องถูกดำเนินคดีย้อนหลัง เพราะถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว ดังนั้นต้องรอดูผลการสอบสวนว่า การกระทำของแพทย์หญิงคนนี้เป็นกรณีใด ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินการเอาผิดต่อไป
Advertisement