จากกรณีมีพระสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง บนเกาะของจังหวัดชลบุรี ร้องเรียนมายังทีมข่าวและหมอปลา ให้มีการตรวจสอบพฤติกรรมของชาวบ้านคนหนึ่ง อ้างตัวเองว่า เป็นลูกชายของอดีตพระในสำนักสงฆ์ดังกล่าว แต่มรณภาพไปนานกว่า 22 ปีแล้ว แต่ชายคนดังกล่าวก็ยังไม่มีการทำพิธีเผาร่างหลวงตาสุข แต่กลับนำร่างไปแช่ฟอร์มาลีน และบรรจุร่างเอาไว้ในโรงแก้ว พร้อมนำเก็บเอาไว้ที่บ้านพักส่วนตัว ทำเป็นสำนักสงฆ์ย่อม ๆ
จากนั้น มีการนิมนต์พระสงฆ์ 2 รูป จากพื้นที่อื่นมาจำวัด เพื่อให้บ้านกลายเป็นสำนักสงฆ์ คนปกครองสำนักสงฆ์ดังกล่าวเป็นเพียงฆราวาสเท่านั้น บ้านที่ตั้งเป็นสำนักสงฆ์ได้มีการเปิดพื้นที่ เพื่อให้ชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวเข้าไปกราบไหว้
อีกทั้งยังมีการปลุกเสกของวัตถุมงคล เช่น พระเครื่อง และเหล็กไหล ให้คนนำไปบูชา จนกระทั่งช่วงระยะหลังชายดังกล่าวต้องการที่จะขยายพื้นที่ และได้ทำการเข้ายึดครองสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ที่มีพระลูกวัดและโยมอุปัฏฐากอาศัยอยู่หลายคน มีการอ้างสิทธิ์ในอดีตว่าเป็นคนจัดตั้งสำนักสงฆ์ เนื่องจากพระที่มรณภาพไปแล้ว เคยจำอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ จึงได้เข้ามาขับไล่พระ ขับไล่โยมอุปัฏฐากออกจากพื้นที่นั้น
วันที่ 17 ส.ค. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี พร้อมนายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา และทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ได้เดินทางมายังท่าเรือเกาะลอย ในเวลา 10.00 น. เพื่อขึ้นเรือเดินทางไปยังเกาะสีชัง ในเวลา 10.30 น. ซึ่งเจ้าหน้าที่จากกรมป่าไม้ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ปกครองส่วนท้องถิ่น ได้เดินทางไปรอบนเกาะอยู่ก่อนแล้ว
จากนั้น เดินทางมาถึงเกาะสีชังในเวลา 11.00 น. หลังจากตรวจวัดอุณหภูมิตามกฎระเบียบแล้ว ก็ได้เดินทางมายังสำนักสงฆ์ถ้ำจักรพงษ์ โดยในเวลา 12.00 น. นายอิทธิพงศ์ จักษ์ตรีมงคล อายุ 37 ปี นายอำเภอเกาะสีชัง พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เกาะสีชัง เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ นายสมบูรณ์ สุขใจนาค บุคคลซึ่งตกเป็นประเด็น, ตัวแทนจากคณะสงฆ์จากอำเภอศรีราชา, พระสถาพร ศิริบังเกิดผล (สถาวโร) อายุ 73 ปี เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ถ้ำระฆัง, พระวิชัย ชยธัมโม พระลูกวัด สำนักสงฆ์ถ้ำระฆัง, นางสมพร ธรรมวัฒนะ อายุ 60 ปี โยมอุปัฏฐากประจำสำนักสงฆ์ถ้ำวัดระฆัง, นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา และทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ได้นั่งโต๊ะร่วมพูดคุยกัน
ส่วนพระชนะศึก สุวิชาโณ พระลูกวัด สำนักสงฆ์ถ้ำระฆัง นี้ได้ลาสิขาไปตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แล้วเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ให้เหตุผลว่าติดธุระ จึงจำเป็นต้องสึก
หลังจากเริ่มเปิดการพูดคุย นายสมพร ได้แจ้งถึงความประสงค์ของการมารวมตัวกันประชุมในครั้งนี้ เนื่องจากพฤติกรรมของนายสมบูรณ์ ได้แก่ 1.ไม่เหมาะสม เนื่องจากแท้จริงสำนักสงฆ์ถ้ำจักรพงษ์เป็นบ้านของนายสมบูรณ์ ไม่สมควรเปิดเป็นสำนักสงฆ์ และไม่ควรขายเครื่องรางของขลัง อีกทั้งยังนำสังขารของหลวงตาสุขมาหากินอ้างเป็นพระอรหันต์ 2.นายสมบูรณ์ได้ละลานไล่พระและชาวบ้านภายในสำนักสงฆ์ถ้ำระฆัง อีกทั้งยังมีการใช้ปืนข่มขู่นั้น
จากนั้น ต่างฝ่ายต่างได้ชี้แจงในมุมของตัวเอง โดยนายสมบูรณ์ สุขใจนาค หรือ แก่ ได้หยิบเอกสารหลักฐานออกมาตั้งกลางโต๊ะประชุม อ้างว่าเป็นเอกสาร ภ.บ.ท. 5 ภาษีบำรุงท้องที่ แต่ไม่กางออกมาให้ดู พร้อมยืนยันว่าไม่เคยข่มขู่ใคร ไม่เคยใช้ปืน ไม่ขับไล่ใคร และไม่เคยกล่าวอ้างว่าพระสุขเป็นพระอรหันต์ อีกทั้งยังไม่เคยนำเครื่องลางของขลังมาขายเอากำไร ส่วนในประเด็นสำนักสงฆ์ถ้ำจักรพงษ์ที่ได้มีการจดทะเบียนเป็นมูลนิธิหลวงพ่อทองสุข ฉนทธมโมนั้น ขอยืนยันว่ามีการส่งบัญชีรายรับรายจ่ายของมูลนิธิให้แก่อำเภอเกาะสีขังมาโดยตลอด เพียงแต่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีการโยกย้ายตำแหน่งนายอำเภอ ตนจึงไม่ได้ส่งเอกสารทางบัญชีให้
ด้านคณะสงฆ์จากอำเภอศรีราชาและเจ้าคณะตำบลท่าเทววงษ์ ร้องขอให้นายสมบูรณ์ ทำพิธีฌาปนกิจร่างสังขารของหลวงตาสุข หรือ พระสุข ตามประเพณี เนื่องจากล่วงเลยมากว่า 14 ปีแล้ว ขณะเดียวกันทนายไพศาลได้ชี้แจงถึงเอกสาร ภ.บ.ท.5 ภาษีบำรุงท้องที่ เป็นเพียงเอกสารที่รับรองการเสียภาษีของผู้ที่ครอบครองที่ดินดังกล่าวให้กับหน่วยงานท้องถิ่น แต่ไม่ได้อยู่ในการรับรองสิทธิโดยกรมที่ดิน ทำให้ไม่มีสิทธิ์ในการครอบครอง เพราะรัฐออกเอกสารนี้ให้นำที่ดินไปใช้ทำกินหรืออยู่อาศัยเท่านั้น
เวลา 12.30 น. นายสมบูรณ์ เดินลุกเดินหนีวงประชุม อ้างว่ามีธุระ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เกาะสีชัง ได้ยืนขวางนายสมบูรณ์ ขอให้นายสมบูรณ์จะต้องอยู่จนเสร็จสิ้นการประชุม
ทั้งนี้ ที่ประชุมจึงตกลงกันว่าจะเขียนข้อบันทึกตกลง พร้อมให้แต่ละฝ่ายเซ็นชื่อไว้เป็นหลักฐาน โดยข้อตกลงประกอบไปด้วย 4 ข้อ ดังนี้
1.ทางคณะสงฆ์มีมติที่จะประกอบพิธีฌาปนกิจร่างสังขารของหลวงตาสุข หรือ พระสุข ในวันที่ 19 ก.ย. 64 ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เกาะสีชัง รับปากกับทางคณะสงฆ์ว่าจะอำนวยความสะดวกให้ ทางคณะสงฆ์ก็มีสิทธิ์ในการนำร่างสังขารของหลวงตาสุข หรือพระสุข ไปทำพิธีฌาปนกิจตามประเพณี
2.ขอให้นายสมบูรณ์ ยุติบทบาทการดำเนินงานของที่พักสงฆ์ถ้ำจักรพงษ์ทั้งหมด
3.ยกเลิกมูลนิธิหลวงพ่อทองสุข ฉนทธมโม ด้วยเหตุผลการเปิดสำนักสงฆ์เป็นมูลนิธิ จะสร้างความซับซ้อนในการตรวจสอบผลประโยชน์
4.ห้ามให้นายสมบูรณ์ สุขใจนาค อ้างสิทธิ์ใบ ภ.บ.ท.5 ในการขับไล่พระสงฆ์และชาวบ้าน
จากนั้นตัวแทนผู้ที่มาร่วมประชุมจากแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้เซ็นชื่อกำกับ รวมถึงผู้สื่อข่าวจากทั้ง 3 สำนัก ได้แก่ อมรินทร์ ทีวี ไทยรัฐ ทีวี และช่อง 8
พระวิชัย ชยธัมโม พระลูกวัดสำนักสงฆ์ถ้ำระฆัง เล่าว่า ในอดีตขณะที่ตนกำลังจำวัด นายสมบูรณ์พร้อมพระของสำนักสงฆ์จักรพงษ์ได้เดินเข้ามาหาอาตมา บอกว่า "อยู่ไม่ได้ ผมไม่ให้อยู่" อ้างว่าเป็นที่ของตัวเอง ตนจึงบอกกลับไปว่า "ไล่ได้ยังไง ที่ของสำนักสงฆ์"
โดยอาตมาอยากจะบอกนายสมบูรณ์ว่าการไล่พระไม่บาป แต่ตกนรก สาเหตุที่อาตมายังดื้อดึงจะจำวัดอยู่ที่นี่ เนื่องจากในอดีตอาตมาเคยมีเพื่อนซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่นี่ โดยก่อนที่พระเพื่อนของอาตมาจะมรณภาพ อีกฝ่ายได้บอกกับอาตมาว่าหากเขาสิ้นลม ขอให้อาตมามาจำวัดแทน ซึ่งอาตมาก็ต้องทำตามคำพูดนั้น
วันนี้ นอกจากอาตมาจะต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของตัวเองแล้ว อาตมายังต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของพระรูปอื่น ๆ ด้วย เนื่องจากในช่วงหน้าร้อน เกาะสีชังจะเป็นเกาะที่พระจะเดินทางมาจำวัดหรือธุดงค์กันจำนวนมาก หากปัญหายังไม่ถูกแก้ไข ก็จะส่งผลต่อพระรูปอื่น ๆ ไม่จบสิ้น
พระมนตรี โตเขียว บอกว่า นายสมบูรณ์ไม่เคยร้องขอปัจจัยจากพระ แต่เวลาที่อาตมาได้รับปัจจัยมา อาตมาก็จะนำเงินบางส่วนให้กับนายสมบูรณ์ เพราะอาตมาอยากช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟ โดยเฉลี่ย 1 พรรษา (3 เดือน) อาตมาจะช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟรวมประมาณ 500 บาท ทั้งนี้ การไปมาหรือการของจำวัดที่สำนักสงฆ์ถ้ำจักรพงษ์ อาตมามองว่าพระก็ควรจะบอกกล่าวนายสมบูรณ์ เพราะนายสมบูรณ์เป็นคนดูแลเก่าแก่ของสำนักสงฆ์แห่งนี้
ส่วนการบริหารที่ดินและอื่น ๆ อาตมาไม่ทราบ แต่อาตมาก็รับรู้มาจากชาวบ้านว่านายสมบูรณ์เป็นเจ้าของที่ดินในสำนักสงฆ์ โดยรับตกทอดที่ดินมาจากหลวงตาสุข หรือ พระสุข ทั้งนี้ เงินจากการขายเครื่องลางของขลังภายในสำนักสงฆ์ถ้ำจักรพงษ์ นายสมบูรณ์จะเป็นผู้รับไป แต่อาตมาไม่ทราบในรายละเอียด
ด้านพระสหวัฒน์ บอกว่า อาตมาบวชอยู่ที่วัดจุฑาทิศธรรมสภารามวรวิหาร ตั้งอยู่บนเกาะสีชัง แต่ย้ายมาจำวัดที่สำนักสงฆ์ถ้ำจักรพงษ์ได้ 6 เดือนแล้ว ซึ่งอาตมาไม่เคยรับรู้เกี่ยวกับค่าน้ำค่าไฟใด ๆ ทั้งสิ้น โดยอาตมาไม่เคยจ่ายให้