กรณีเกิดเหตุไฟไหม้ที่บ้านห้วยข้าวหลาม หมู่ 2 ต.บ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ที่เกิดเหตุเป็นบ้านริมถนนสายบ้องตี้-ทุ่งมะเซอย่อ ของนายมานะ ที่ถูกเผาจนเหลือแต่ซาก โดยคนร้ายลอบวางเพลิงคือ นายวิชากร ภุนุชอภัย อายุ 24 ปี ลูกเขย ซึ่งหลังเกิดเหตุได้ขับรถกระบะ นิสสัน สีน้ำเงินของนายมานะ พ่อตา หลบหนีไป กระทั่งถูกจับได้ในพื้นที่หมู่บ้านแจงงาม ต.แจงงาม อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี
วันที่ 7 ต.ค. 61 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี มาที่บ้านห้วยข้าวหลาม หมู่ 2 ต.บ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี พบว่าบ้านที่เสียหาย เป็นบ้านปูนผสมไม้ ถูกเพลิงไหม้เสียหายทั้งหลัง ซึ่งนายมานะ พ่อตาของนายวิชากร ภุนุชอภัย ผู้ก่อเหตุ ได้พาทีมข่าวไปดูบ้าน โดยด้านหน้าบ้านเป็นที่จอดรถ สภาพภายในบ้านมีเศษกระเบื้อง และแผ่นไม้ที่มอดไหม้ ร่วงหล่นมาจากด้านบนหลังคากองอยู่ที่พื้น อีกทั้งมีเสื้อผ้า หม้อ เตียงนอน ถูกไหม้ กระจัดกระจายเต็มพื้น และจุดที่เป็นเตาแก๊ส จะอยู่ริมขวาสุดของบ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูเข้า-ออกของบ้าน โดยมีกลุ่มชาวบ้านที่กำลังช่วยกันขุดหลุมวางโครงสร้างต่อเติมบ้านให้กับนายมานะ เพื่อวางแผนในการสร้างบ้านหลังใหม่
นายมานะ เจ้าของบ้าน เล่าว่า นายวิชากรได้ก่อเหตุตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค. เนื่องจาก ช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. เพื่อนของน.ส.เอ (นามสมมติ) ลูกสาวคนเล็ก ได้ขับรถจักรยานยนต์มาหาตนที่บ้าน พร้อมบอกว่า “ลุงลูกสาวถูกพี่เขยกระชากลงจากรถมอเตอร์ไซค์” เมื่อตนทราบดังนั้น จึงรีบขับรถจักรยานยนต์ไปดู แล้วตะโกนหาลูกสาวในป่า ซึ่งก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ตนจึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งด่านในบริเวณใกล้เคียงให้ช่วยตามหา จนสุดท้ายก็เจอลูกสาวคนเล็กวิ่งร้องไห้ออกมา ในสภาพที่เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าขาดวิ่น
โดยตนถามลูกสาวภายหลังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงทราบว่า นายวิชากรได้ขับรถตามลูกสาวตนตอนช่วงหลังเลิกเรียน ก่อนที่จะมาดับเครื่องรถจักรยานยนต์ของลูกสาวที่มากับเพื่อนอีก 2 คน โดยนายวิชากรอ้างกับลูกสาวตนว่า ตนให้มาตามกลับบ้าน ก่อนที่จะขับพาลูกสาวตนไปที่ป่า ซึ่งตนก็ถามเช่นกันว่า ตอนที่ญาติ ๆ ตะโกนเรียกไม่ได้ยินเสียงหรือ ซึ่งลูกสาวตนบอกว่า ได้ยินเสียง แต่นายวิชากรปิดปากและบีบคอไว้เพื่อไม่ให้ตะโกน
ภายหลังจากที่ลูกสาวตนออกมาได้ ก็ได้พาไปตรวจร่างกาย ซึ่งพยาบาลบอกว่าร่างกายข้างนอกของลูกสาวปกติ แต่ภายในอวัยวะเพศฉีกขาด แต่ยังไม่แน่ใจว่าเกิดจากการข่มขืนหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมานายวิชากรก็อยู่บ้านหลังเดียวกับตน และไม่เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้ ส่วนตัวคิดว่าที่นายวิชากรก่อเหตุเพราะเมายา เนื่องจากลูกสาวคนโตที่เป็นแฟนกับนายวิชากร ผู้ก่อเหตุ บอกว่าเวลาไปทำงานก็มักจะเสพยา ตนจึงยังไม่ให้ใครกลับไปที่บ้าน เพราะนายวิชากรได้หายตัวไป หลังจากก่อเหตุกับลูกสาวตน
อย่างไรก็ตาม
นายมานะ ยอมรับว่า ยังกลัวว่าหากนายวิชากรพ้นโทษมาจะกระทำเช่นเดิมอีก แต่ยืนยันว่าถ้านายวิชากรพ้นโทษออกมา ตนก็ไม่พร้อมจะให้โอกาสในการกลับมาใช้ชีวิตกับลูกสาวคนโตของตน และหากได้พูดกับนายวิชากร ตนอยากบอกว่า “มึงเป็นคนหรือเป็นสัตว์ อย่าให้กูเจอมึงอีก” ซึ่งวันที่เจ้าหน้าที่จับกุมตัวนายวิชากรได้ ตนก็จะเข้าไปหานายวิชากร แต่เจ้าหน้าที่ได้ล็อกตัวเอาไว้ เพราะตนก็รู้สึกแค้นที่ทำให้ตนไม่เหลือบ้าน
นางเจน ภรรยาของนายวิชากร กล่าวว่า ตนมากับพ่อ เพื่อตามหาน้อง โดยผ่านไป 30 นาที น้องเดินออกมาจากป่า ขณะนั้นสภาพน้องเสื้อผ้าขาด มอมแมม มีรอยเปื้อนดิน หลังจากที่นั้น ตนก็ถามว่า สามีตนได้ทำอะไรหรือไม่ ซึ่งน้องตนก็บอกว่าทำ พร้อมกับร้องไห้ออกมา แต่ขณะนั้นตนไม่ได้ถามว่าทำอะไร และหลังจากวันนั้น ตนก็ไม่ได้เจอสามีตนอีกเลย จนมาเกิดเหตุเมื่อวันที่ 4 ต.ค. ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ขณะนั้นตนไม่ได้อยู่บ้าน แต่ญาติโทรศัพท์มาบอก โดยตนคิดว่าสามีเป็นคนลงมือ แต่โดยนิสัยของสามีเป็นคนดี ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมา 7 ปี ตนไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ และเวลาอยู่กับตน ก็ไม่เคยเห็นมาก่อนว่าจะเสพยา ซึ่งตอนที่สามีตนให้การกับตำรวจว่าเสพยา ตนรู้สึกงงมาก
ทั้งนี้ หากสามีตนพ้นโทษออกมา ก็คงไม่กลับไปคบกันแล้ว เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำเกินไป และให้อภัยไม่ได้ ซึ่งตนอยากถามสามีว่า "สมองทำด้วยอะไร ทำในสิ่งที่พ่อแม่ตนสร้างไปเพื่ออะไร ทำไมไม่คิดถึงลูกอีก 2 คน ว่าจะอยู่ต่อไปอย่างไร" เนื่องจากบ้านหลังนี้ สามีตนก็ไม่ได้ช่วยปลูกสร้าง อีกทั้งตนก็คงต้องเลี้ยงดูลูกต่อไป