วันที่ 8 ต.ค. 61 เวลา 15.00 น. ที่โรงพยาบาลตำรวจ ปทุมวัน กรุงเทพฯ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าเยี่ยมอาการ ร.ต.ต.วิทยา อาจหาญ รองสวป. สภ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส จากกรณีเข้าระงับเหตุการณ์ชายเมายาบ้าคลุ้มคลั่ง อาละวาด ที่บริเวณถนนสายวังใหญ่-หนองบัวเเดง บ้านแหลม ต.บ้านแหลม อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 61 ที่ผ่านมา ซึ่งได้สั่งการให้ส่งตัวผู้บาดเจ็บมารับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นการด่วน ทั้งนี้ ยังเป็นผู้แทนมอบแจกันดอกไม้จากพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมีภรรยาและบุตรของผู้บาดเจ็บเป็นผู้รับมอบ
นอกจากนี้ ที่บ้านของนายวายุ กัญญาประสิทธิ์ หรือ อ๊อฟ อายุ 27 ปี ในพื้นที่ ต.แหลมทอง อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ โดยพบว่าบรรยากาศเงียบเหงา จากการพูดคุยกับญาติ ทราบว่าเจ้าหน้าที่ได้นำศพไปชันสูตรที่ รพ.ตำรวจ กรุงเทพฯ โดยมีนายประดิษฐ์ กัญญาประสิทธิ์ พ่อนายวายุ กับนายศักดิ์ดา กัญญาประสิทธิ์ พี่ชายนายวายุ ได้เดินทางไปด้วย
ด้าน
นายภัทรวุฒิ แตงหอม อาเขยนายวายุ เล่าว่า นายวายุคลุ้มคลั่งจากอาการทางประสาท หลังติดยาบ้ามานานหลายปีแล้ว ซึ่งตอนนั้นมีอาการตาขวางใส่คนแถวนั้น บ้านหลังนี้ นายวายุพักอาศัยอยู่เพียงคนเดียว นอนคนเดียว เคยมีภรรยาแต่เลิกรากันไปแล้ว และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ส่วนพ่อไปอาศัยอยู่ไร่อ้อย
โดยเมื่อนายวายุคลุ้มคลั่ง ญาติจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่นำตัวไปบำบัด พอเจ้าหน้าที่มาถึง ไม่ได้มีการเตรียมการวางแผน โดยเข้าไปจับกุมนายวายุภายในบ้าน แล้วไปด่าทอว่า "มึงอยากตายตามแม่มึงหรือ" และมีการต่อสู้กัน จนตำรวจได้วิ่งหนี แต่นายวายุคว้าไม้ซึ่งอยู่หน้าบ้านของตัวเองวิ่งตาม และเกิดเหตุการณ์ตามคลิป ส่วนคนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินที่ล็อกตัวนายวายุอยู่ในขณะนั้นคือพ่อของเขา ห้ามไม่ให้ไปทำร้ายเจ้าหน้าที่อีก ส่วนการตายของนายวายุ หรืออ๊อฟ ญาติรู้สึกติดใจอยู่ 2 ประเด็น คือ ทำไมเจ้าหน้าที่ไม่นำคนเจ็บไปโรงพยาบาลภักดี ซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 4 กม. ซึ่งใกล้กว่า และเหตุใดจึงไม่แจ้งการตายของนายวายุ ถ้าตนไม่ไปเยี่ยมตอน 7 โมงของวันนี้ ก็คงไม่รู้ว่าหลานตายแล้ว ส่วนจะแจ้งความเอาผิดกับคนทำร้ายนายวายุหรือไม่ คงต้องปรึกษาครอบครัวก่อน
ขณะที่
นายประดิษฐ์ กัญญาประสิทธิ์ พ่อนายวายุ เดินทางมาพร้อมร่างลูกชาย เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 วัน ลูกชายมีอาการแปลก ๆ คาดว่าเป็นผลจากยาเสพติดที่ลูกเสพ ซึ่งก่อนหน้านี้ตนทราบว่าลูกเสพยา และเคยเตือนให้ลูกเลิกยาแล้ว ซึ่งลูกก็บอกเพียงว่า ”เดี๋ยวก็เลิกเอง” ก่อนที่จะมามีอาการคล้ายว่าเมายา ไปบ่นกับคนรู้จักว่าจะไปฆ่าคนตาย และให้เจ้าหน้าที่ อบต. นำตัวตนเองไปส่งตำรวจด้วย ส่วนตัวทราบเรื่องก็กลัวเกิดเหตุร้าย จึงวางแผนนำตัวลูกชายไปบำบัด
กระทั่งวานนี้ (7 ต.ค.) ตนแจ้งตำรวจตามหมายเลข 191 ให้มาจับลูกชายไปบำบัด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 นายขับรถมาที่บ้านตน พร้อมมาคุยกับผู้ตาย คล้ายสอบถามว่าลูกชายมีปัญหาอะไรกับตนเองหรือไม่ ซึ่งลูกชายก็พูดคุยรู้เรื่อง ยังไม่มีอาการคลั่ง ตำรวจจึงยังไม่ได้คุมตัวไป
ต่อมาหลังตำรวจคุยกับลูกชายเสร็จ ลูกชายก็ออกจากบ้านและขับขี่รถจักรยานยนต์ของเจ้าหน้าที่ออกไปที่บ้านตัวเอง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงโทรเรียกกำลังเสริมให้มาในพื้นทึ่ จากนั้นก็ตามไปที่บ้านของผู้ตาย เมื่อไปถึง ลูกชายมีอาการคลั่งและถือไม้ออกมาอย่างที่เห็นในคลิป ซึ่งตอนนั้นตนเองก็ตามมาที่จุดเกิดเหตุด้วย ระบุว่าหลังเกิดเหตุ ตนเป็นคนเข้าไปล็อกคอลูกชายเพื่อให้สงบสติอารมณ์ไว้เอง แต่ตอนนั้นเข้าใจว่าลูกสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จำหน้าตนเองไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าลูกชายไม่ได้โดยชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์ มีเพียงเจ้าหน้าที่ที่ใช้ไม้ตีลูกหลายครั้ง
ส่วนตัวไม่คิดว่าลูกชายจะเสียชีวิต เพราะครอบครัววางแผนเพื่อให้ลูกไปบำบัดแล้ว แต่สงสัยเหตุใดเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งมาจับชายที่ติดยาเสพติด แต่กลับไม่เอาอุปกรณ์จับกุมมา โดยเฉพาะกุญแจมือ เพราะหลังจับกุม ยังต้องใช้เชือกมัดลูกไว้ หลังคุมตัวลูกไปขังที่ สภ.ชุมพลภักดี ในห้องขังไม่มีผู้ต้องหารายอื่น ตนสงสัยว่าลูกชายน่าจะเสียชีวิตด้วยฝีมือเจ้าหน้าที่บนโรงพัก
ทั้งนี้ อาของผู้ตายได้ไปเยี่ยมลูกชายตนที่โรงพัก พบเจ้าหน้าที่ตำรวจบนโรงพักที่คุมห้องขัง มีอาการเมาสุรา และไล่ญาติผู้ตายให้กลับไป โดยบอกว่า “คนอย่างนี้ปล่อยให้มันตาย ๆ ไป” เป็นคำพูดเจ้าหน้าที่พูดกับญาติผู้ต้องหา ถึงขั้นอาของผู้ตายต้องก้มกราบเท้า ตำรวจรายนี้จึงยอมให้ญาติผู้ตายเข้าเยี่ยม เพื่อนำอาหารไปให้ ยืนยันว่าช่วงเวลาดังกล่าว ลูกชายยังมีชีวิต ยังกินข้าวได้ แต่ตนก็มาทราบว่าลูกชายตายช่วง 08.00 น. ของวันนี้
ส่วนตนได้เจอลูกชายช่วงนำตัวส่งมาที่โรงพัก ประมาณ 15.00 น. วานนี้ ลูกชายพูดคำสุดท้ายว่า “ให้ทำใจ เขาไม่ได้เอาไปฆ่า เขาจะเอาไปบำบัด” ลูกชายตอบเพียง “ครับ” นี่คือคำสุดท้ายที่ลูกพูดกับตน ยืนยันว่าขณะนำตัวลูกไปส่งโรงพัก ลูกยังอาการปกติ มีเพียงหัวแตก ไม่คิดเลยว่าลูกจะต้องมาเสียชีวิต พร้อมกังวลว่าคดีไม่คืบหน้าและไม่ได้รับความเป็นธรรม