กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ. ประจันตคามจ.ปราจีนบุรี ได้รับแจ้งเหตุพ่อรายหนึ่ง อายุ 36 ปี ก่อเหตุอนาจารและข่มขืนลูกสาวฝาแฝดของตัวเองในบ้านพักด้านหลังวัดแจ้งเมืองเก่า ต.ประจันตคาม อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี
ต่อมาเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมนายเฉลิมชัย ชาลี หรือ เต๋า อายุ 36 ปี ผู้ก่อเหตุได้ จากการสอบปากคำผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพ ก่อนหน้านี้เคยต้องคดีข่มขืนกระทำชำเราเด็ก และเพิ่งออกจากเรือนจำได้เพียง 3 วัน จึงได้กลับมาพักที่บ้านแม่ ในวันที่เกิดเหตุกลับบ้านกลางดึก (2 ส.ค.64) ได้ดื่มสุราจนเมามาย และเข้าไปนอนในห้องของลูกสาวฝาแฝดที่พักอาศัยอยู่กับย่า จากนั้นได้ลงมืออนาจารลูกสาวฝาแฝดคนแรก ก่อนจะข่มขืนลูกสาวฝาแฝดคนที่ 2 จนสำเร็จความใคร่
เวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ประจันตคาม คุมตัวนายเต๋า มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุ โดยนำตัวไปชี้ที่หน้าบ้านจุดเกิดเหตุ ก่อนเข้าไปในห้องนอนของลูกสาว ใช้ตุ๊กตาแทนเด็ก 2 คน
นายเต๋า ระบุว่า ตนนอนตรงกลาง ด.ญ.เอ (นามสมมติ) ลูกสาวคนแรกนอนฝั่งขวา ด.ญ.บี (นามสมมติ) ลูกสาวอีกคนนอนฝั่งซ้าย จากนั้นหันไปกอดหอม ด.ญ.บี ก่อนจะกอด ด.ญ.เอ และข่มขืนด.ญ.เอ จนสำเร็จความใคร่ ก่อนจะลุกออกไปจากห้องนอน
โดยทีมข่าวสอบถามนายเต๋าถึงสาเหตุ แต่นายเต๋าไม่ตอบ จึงถามต่ออีกว่าอยากขอโทษลูกสาวรวมถึงครอบครัวหรือไม่ นายเต๋า กล่าวว่า “ขอโทษพ่อเมา พ่อไม่ได้ตั้งใจ ยกโทษให้พ่อด้วย”
ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่จำนวนมากมา ยืนสังเกตการณ์การทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยนางชนัญทิพา โสภา อายุ 54 ปี กล่าวว่า ตนทราบข่าวว่านายเต๋า ออกจากคุกมา 3 วัน ลูกสาวซึ่งปกติอยู่บ้านยายก็มาหาพ่อด้วยความคิดถึง ความรู้สึกของตนช็อกมาก ๆ เพราะพ่อกับลูก แม้จะติดคุกไปนานนับ 10 ปี ก็ต้องจำลูกได้ ไม่คิดว่าจะทำแบบนี้ ตอนนี้กลัวมาก ๆ หากผู้ต้องหาได้ออกจากคุกอีกครั้ง จะไปก่อเหตุกับผู้หญิงคนอื่นหรือไม่ เพราะลูกของตัวเองยังทำได้ลงคอ
นางน้อย (นามสมมติ) ยายของเด็กผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนเลี้ยงน้องเอ และน้องบี มาตั้งแต่ยังเล็ก เนื่องจากนายเต๋า ติดคุกไปตั้งแต่ลูก 2 คนอายุได้เพียง 2 ขวบ หลังจากนั้นแม่ของเด็กก็แต่งงานใหม่ย้ายไปอยู่กับสามี แต่ยังส่งเงินมาให้ลูกใช้เสมอ
โดยเมื่อวันที่ 30 ส.ค.64 พ่อของนายเต๋า มารับหลานสาวทั้ง 2 คน เพื่อพาไปรับนายเต๋าออกจากเรือนจำ ซึ่งหลานสาวก็เตรียมเสื้อผ้าไปนอนค้างที่บ้านปู่กับย่าด้วย ขณะนั้นรู้สึกเป็นห่วงหลาน เพราะเห็นว่าห่างพ่อไปนานแล้ว จึงเตือนว่าอย่าไปนอนเลย ที่ผ่านมามีข่าวเรื่องพ่อข่มขืนลูก รู้สึกว่าอันตราย แต่หลานไม่เชื่อ อยากไปนอนกับพ่อ เพราะคิดถึงพ่อ ตนจึงปล่อยให้ไป
หลังจากนั้นก็คิดถึงหลานทุกคืน รอคอยว่าเมื่อไรหลานจะกลับมา จนวันเกิดเหตุตนก็ไม่รู้เรื่อง กระทั่งช่วงเช้าที่ผ่านมา ชาวบ้านในพื้นที่มาสอบถามเพราะเห็นข่าว ตนจึงโทรศัพท์ไปหาลูกสาว แม่ของน้องเอและน้องบี จนทราบว่าเกิดเหตุขึ้นจริง และขณะนี้ตำรวจจับกุมนายเต๋าได้แล้ว ทราบว่าหลังเกิดเหตุหลานโทรศัพท์บอกแม่ แม่จึงไปรับมาจากบ้านปู่ย่า แล้วพาไปแจ้งความพร้อมตรวจร่างกาย
จากการสอบถามหลานสาวก็ยืนยันว่าจะเอาเรื่องพ่อตัวเองให้ถึงที่สุด ซึ่งตนก็ใจสลาย เพราะเลี้ยงหลานมาตั้งแต่เล็ก ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุแบบนี้ อยากให้นายเต๋า รับโทษประหาร หรือไม่ต้องออกมาจากคุกอีกตลอดชีวิต ส่วนหลานสาวขณะนี้พักอยู่กับแม่ และกำลังเข้ากระบวนการฟื้นฟูสภาพจิตใจที่โรงพยาบาล
จากนั้นทีมข่าวได้พูดคุยกับนางกัญธิมา ภักดี อายุ 34 ปี ญาติของผู้เสียหายรายแรกที่ถูกนายเต๋าข่มขืน เปิดเผยว่า เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ขณะที่ด.ญ.ส้ม (นามสมมติ) อายุ 13 ปี กำลังนอนเล่นในเปลที่ใต้ถุนบ้าน จู่ ๆ นายเต๋า เดินถือมีดเข้าไปจี้คอ พร้อมบังคับขืนใจ ซึ่งเด็กก็ไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือเพราะความกลัว โดยก่อนเกิดเหตุ ด.ญ.ส้ม ได้เข้าไปช่วยเลี้ยงเด็กแฝดลูกของนายเต๋าด้วย เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน หลังจากนั้น แม่ของด.ญ.ส้มเด็ก และผู้ใหญ่ในพื้นที่ทราบเรื่อง จึงพากันไปแจ้งความ จนสามารถจับกุมนายเต๋าได้ ทำให้ต้องติดคุกเป็นเวลา 10 ปี ก่อนจะออกจากคุกมาเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หลังทราบข่าวว่านายเต๋าออกมาจากคุก ตนก็สั่งห้ามลูกหลานผู้หญิงออกมาเล่นนอกบ้าน เพราะกลัวนายเต๋า จะกลับมาก่อเหตุซ้ำ ด.ญ.ส้ม ซึ่งตอนนี้ย้ายไปทำงานมีครอบครัวที่ต่างจังหวัด หลังทราบข่าวก็ไม่กล้ากลับมาที่บ้าน จากที่ตอนแรกตั้งใจจะกลับมาช่วงสิ้นเดือน เพราะความกลัว และจำฝังใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนก็ไม่คิดว่านายเต๋า จะกล้าก่อเหตุกับลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเอง จึงอยากให้นายเต๋ารับโทษประหารชีวิต และไม่อยากให้กลับเข้ามาในหมู่บ้าน เพราะกลัวจะก่อเหตุซ้ำกับเด็กคนอื่น ๆ
พนักงานสอบสวน สภ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ระบุว่า จากการสอบปากคำนายเฉลิมชัย ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าทำไปเพราะเมา เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กเป็นผู้สืบสันดาน และกระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยเป็นผู้สืบสันดาน