วันที่ 3 ก.ย. 64 ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. สั่งการให้ พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.ต.ณรงค์ หาญสันเทียะ สว.กก.4 บก.ป. นำกำลังจับกุม น.ส.วรีพร เปรมปราณีรัชต์ อายุ 59 ปี
ตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ซ่อนเร้นย้ายศพเพื่อปกปิดการตายและสาเหตุแห่งการตาย, มีอาวุธปืนฯ ไว้ในความครอบครอง บริเวณตลาดสดแห่งหนึ่ง ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี
ด้าน พ.ต.ต.ณรงค์ หาญสันเทียะ สว.กก.4 บก.ป. ให้ข้อมูลว่า เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการกองปราบ ได้มีการเฝ้าติดตามนายเฉลิม อดีตสามีผู้ต้องหา หลังมีประวัติให้ที่พักอาศัยนางสาววรีพร เมื่อปี 2556 ปรากฏว่ามีการเฝ้าดูเส้นทางการเข้าออกจากบ้านแห่งหนึ่งย่านปทุมธานี 3 วัน 3 คืน พบว่านางสาววรีพรอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับนายเฉลิม แต่นางสาววรีพรเก็บตัวไม่ออกจากบ้าน
กระทั่งวันนี้นางสาววรีพรออกมาจากบ้านพร้อมกับนายเฉลิม มุ่งหน้าตรงไปยังตลาดสดเทศบาลปทุมธานี หลังจากนั้นได้ทำการปล่อยปลาที่ริมน้ำ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการแสดงหมายศาลและทำการจับกุม ผู้ต้องหาให้การสารภาพโดยอ้างว่าลงมือยิงนายเต็กกอ เนื่องจากไม่ยอมเลิก และถูกทำร้ายร่างกาย เบื้องต้นนำตัวฝากฝังขังศาลจังหวัดนนทบุรีเรียบร้อยแล้ว
ทีมข่าวอมรินทร์สอบถามทางโทรศัพท์ นางนิชกมล น้องสาวผู้เสียชีวิต บอกว่า พี่ชายของตนเสียชีวิต ทางครอบครัวอยู่ที่กุยบุรี จ.ประจวบฯ มีแค่พี่ชายมาอาศัยอยู่ กทม. ซึ่งถูกฆ่าตายโยนทิ้งน้ำ ตั้งแต่ 12 มีนาคม 2556 โดยก่อนหน้านี้อาศัยกับนางสาววรีพร เปรมปราณีรัชต์ ผู้ต้องหา 22 ปีที่ผ่านมา ทั้งคู่ไม่มีลูกด้วยกัน แต่ต่างฝ่ายต่างมีลูกติดด้วยกันทั้งคู่ อาศัยอยู่ด้วยกันแถวสนามบินน้ำ สร้างเนื้องสร้างตัวด้วยกันมา นางสาววรีพรผู้ต้องหาขายก๋วยจั๊บอยู่ที่หน้ากระทรวงพาณิชย์ ส่วนอาชีพหลักคือปล่อยเงินกู้ภายในกระทรวงพาณิชย์
ซึ่งยังคงมีพฤติกรรมไปพัวพันธ์กับนายเฉลิม อดีตสามี แล้วแอบไปจดทะเบียนกัน โดยที่นายเต็กกอ พี่ชายของตนไม่ทราบ ตนก็เพิ่งมาทราบตอนเป็นคดีความ ซึ่งนางสาววรีพรพอตั้งตัวได้มีฐานะ ก็จะขอแยกทางไปอยู่กับนายเฉลิม ส่วนนายเต็กกอ พี่ชายของตนไม่ยอมเลิก เพราะทำธุรกิจด้วยกันหลายอย่างเป็นชื่อของนางสาววรีพร โดยเฉพาะบ้านที่ซื้อด้วยกัน ซึ่งเป็นบ้านทาวน์โฮม 3 ชั้น ก็เป็นชื่อของนางสาววรีพร
วันเกิดเหตุ นางสาววรีพรก็จะขอแยกทางไปอยู่กับนายเฉลิม ส่วนนายเต็กกอ พี่ชายของตนไม่ยอมเลิกก็เลยมีปากเสียงกัน และถูกทำร้ายร่างกาย นางสาววรีพรจึงโมโหใช้อาวุธปืนยิงนายเต็กกอ บริเวณหน้าผากทะลุใบหูขวา จากนั้นได้นำผ้าห่ม ผ้าปูที่นอนและถุงดำพันร่าง แล้วนำใส่รถกระบะมาทิ้งที่แม่น้ำเจ้าพระยา และหลบหนีไป ซึ่งมีการประกันตัวและได้มีการหลบหนีไปในระหว่างชั้นอุทธรณ์ ศาลจึงได้ออกหมายจับผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว เงินที่นางสาววรีพรต้องมีการชดใช้ให้กับทางครอบครัวผู้เสียชีวิตก็ปฏิเสธที่จะเยียวยา ทางศาลจึงมีการยึดทรัพย์บ้าน 3 ชั้นหลังที่เกิดเหตุ ขายทอดในตลาดหลักทรัพย์แทน
ทางครอบครัวเองรู้สึกดีใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวคนก่อเหตุได้ เพราะทางครอบครัวก็หมดเงินไปกับการดำเนินคดีมากกว่า 2 ล้านบาท ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการที่ผู้ต้องหาถูกดำเนินคดี