กรณีเฟซบุ๊ก สันดานเซนไต เผยคลิปที่มีอาจารย์มหาวิทยาลัยย่านฝั่งธน ผู้อยู่อาศัยคอนโดแห่งหนึ่งย่านปิ่นเกล้า ออกมาร้องเรียนเรื่องราวที่ตนเองได้รับผลกระทบจากเสียงดังรบกวนของตลาดนัดซึ่งเพิ่งมาเปิดใหม่ไม่ถึงปี โดยที่ผ่านมาพยายามร้องเรียนทุกช่องทางแล้ว แต่กลับไม่เป็นผลนั้น
วันที่ 10 ต.ค. 61
นายชัน (นามสมมติ) ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเสียงจากตลาดนัด เล่าว่า คนละแวกนี้ ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ เพราะหลังเลิกงานทุกคนก็อยากพักผ่อน แต่ก็นอนไม่ได้ ยิ่งดึกยิ่งส่งเสียงดัง ซึ่งตลาดปิดเวลาประมาณ 00.00น. เสียงที่ดังรบกวนคือเสียงของเครื่องดนตรี และการเอนเตอร์เทนกับคนภายในร้าน เพราะบริเวณลานตลาดนัดดังกล่าวเปิดให้เป็นร้านฟังดนตรีสด มีเสียงกลองชุด นักร้อง ทุกวันตลาดนัดแห่งนี้ จะเริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น. ซึ่งจะเป็นการเปิดเพลงภายในร้านทั่วไป แต่หลังจากนั้นเมื่อดนตรีสดเริ่มขึ้น ก็จะเริ่มส่งเสียงรบกวนผู้ที่อาศัยอยู่ละแวกนี้ ซึ่งมีทั้งคอนโด อาคารพาณิชย์ บ้านเรือนประชาชนตั้งอยู่
นายชัน เล่าว่า ก่อนที่จะมีตลาดแห่งนี้ เดิมเคยเป็นสวนสาธารณะเป็นสวนสำหรับพักผ่อน และในย่านนี้ก็จะเงียบสงบมาก แต่หลังจากที่เปิดตลาดนัดขึ้นมาก็สร้างความเดือดร้อนรำคาญ โดยเฉพาะเรื่องของเสียง และคนที่ได้รับความเดือดร้อนส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้แจ้งกับสำนักงานเขตหรือหน่วยงานในพื้นที่แต่อย่างใด มีเพียงแจ้งกับตำรวจให้เข้ามาดูเป็นระยะเท่านั้น แต่ทุกครั้งเมื่อมีคนแจ้ง ร้านก็จะเบาเสียงลงหรือปิดเพลงเหมือนรู้ว่ากำลังมีตำรวจเข้ามา “ตอนตำรวจเข้ามาก็เหมือนเบาเสียงลง และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อตำรวจจับไปแล้วก็อาจจะเปิดดังเหมือนเดิม หรือมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้” ซึ่งประกอบกับช่วงที่ผ่านมาเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ มีเพจเฟซบุ๊กเริ่มแชร์คลิปออกไปนั้น ก็ทำให้ตลาดดังกล่าวลดเสียงลงบ้างแต่ก็ไม่ทั้งหมด ซึ่งหลังจากนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะดีขึ้นหรือกลับมาเป็นดังเดิม
พร้อมยอมรับว่า ปกติคนย่านนี้จะเป็นกลุ่มคนวัยทำงาน ทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปร้องเรียนหรือทักท้วงเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจตลาดนัด แต่เคยทราบมาว่าบางคนเข้าร้องแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเรื่องก็เงียบไป และเมื่อถามว่า การส่งเสียงรบกวนแบบนี้ ต้องการเลียนแบบหรือเทียบกับกรณีของระฆังรบกวนคอนโดหรือไม่ นายชัน ตอบว่า จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่นั้นตนเองไม่ทราบ เชื่อว่าสิ่งนี้คงจะดังรบกวนกว่าระฆังแน่นอน เพราะเป็นลักษณะของการรบกวนด้วยเสียงดังทุกคืน และเป็นเวลานานกว่าระฆัง บางครั้งบังคับให้ปิดตามเวลาไม่ได้ เพราะอาจจะต้องเล่นเลยเวลาที่กำหนด และมีกลุ่มผู้ที่มาปาร์ตี้สังสรรค์ไม่เลิกรา จับกลุ่มส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้านอีก
อย่างไรก็ตาม
นายชัน ระบุว่า อยากให้มีการคืนความสุขให้คนในย่านนี้ คืนสิทธิให้กับผู้อาศัย พร้อมทั้งอยากจะลองให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบออกมาเรียกร้องสิทธิ์พร้อมกัน เพื่อจะให้สำนักงานเขตและเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแล
ล่าสุด เมื่อเวลา 20.15 น. กองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อยเขตบางพลัด สน.พื้นที่บางพลัด และสำนักงานเขตบางพลัด ลงพื้นที่มาตลาดดังกล่าว โดยนำกำลังเข้ามาพูดคุยและแจ้งให้เจ้าของตลาดทราบเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน และแจ้งให้กับเจ้าของตลาดหาแนวทางการแก้ไข เพื่อไม่ให้กระทบผู้อยู่อาศัยในละแวกนี้
โดย
นายวุฒิชัย บุญวิทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตบางพลัด เปิดเผยว่า ลงพื้นที่มาในวันนี้เพื่อตรวจสอบตามที่มีประชาชนร้องเรียน แต่เบื้องต้นพบว่าไม่เป็นไปตามที่มีผู้ร้อง เนื่องจากเจ้าของตลาดได้แก้ไขปรับปรุงไปแล้ว แต่ทั้งนี้จะจัดส่งสายตรวจนอกเครื่องแบบ เข้ามาแฝงและตรวจสอบปัญหาดังกล่าว หากพบก็จะเรียกประชุมเพื่อหาแนวทางการแก้ไข แต่หากยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขได้ ก็จะหารือร่วมกับตำรวจและทหารในพื้นที่ เพื่อออกมาตรการสั่งปิดและเพิกถอนใบอนุญาต
ทั้งนี้ ยืนยันว่าร้านค้าบันเทิงสามารถเปิดได้ภายในตลาดดังกล่าว จดทะเบียนในลักษณะตลาดค้าขายทั่วไป และการเปิดร้านบันเทิงซึ่งเป็นการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในตลาดค้าขายไม่จำเป็นต้องขออนุญาต แต่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยร้านค้าดังกล่าวเปิดและปิดตามเวลา และต้องไม่มีการแสดงสด
ด้าน
นายแบงค์ชาติ เจ้าของตลาด ยอมรับว่าตลาดผิด แต่แก้ไขตามกฎของตลาด คือสั่งปิดให้ปรับปรุง โดยการลดจำนวนเครื่องดนตรีเหลือเพียงร้านละ 1 ชิ้น และจะต้องปฏิบัติตามระเบียบการเปิดและปิดตามเวลา ไม่เกิน 23.00 น. ตามสัญญาที่ระบุไว้ ส่วนแนวทางการแก้ไขระยะยาว ต้องประเมินจากการแก้ไขของแต่ละร้าน หากดีขึ้นก็จะอนุญาตให้เปิดขายต่อ แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้ ก็ต้องนำไปสู่มาตรการห้ามขายหรือปิดถาวร ให้ร้านที่สามารถปฏิบัติตามกฎเข้ามาขายทดแทน แต่ที่ผ่านมายอมรับว่าไม่เคยมีผู้มาร้องเรียน ตลาดจึงไม่ทราบ จนกระทั่งมีผู้ร้องเรียนในโลกออนไลน์ ตนเองก็หาแนวทางการแก้ไขไว้ทั้งหมดแล้ว และทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการพร้อมทั้งสั่งปิดชั่วคราว
ส่วนการเข้ามาของเจ้าหน้าที่ในวันนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการเข้ามาตรวจตามปกติ เพราะหลังเกิดเหตุมีผู้ร้องเรียนก็ต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่จะมาดูแล ตนไม่มีความกังวลแต่อย่างใด และยืนยันว่าไม่ขอแก้ตัว แต่ขอแก้ไข และเชื่อว่าแนวทางแก้ไขจะดีขึ้นกว่าเดิม