ความคืบหน้ากรณีที่ตำรวจชุดสืบชัยภูมิ ถูกชาวบ้านแจ้งความเพื่อดำเนินคดี โดยชาวบ้านอ้างว่า ชายฉกรรจ์จำนวน 7-8 คน คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่บุกเข้ามาในบ้านพัก และถือวิสาสะรื้อค้นข้าวของ รวมทั้งทำร้ายร่างกาย อีกทั้งยังแอบลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเงินสดที่ขายวัว แล้วเก็บไว้ภายในห้องพัก หลังจากที่แจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สภ.บำเหน็จณรงค์ อ.บำเหน็จณรงค์ และ สภ.ซับใหญ่ อ.ซับใหญ่ นานข้ามปี แต่คดีไม่คืบหน้า จึงนำเรื่องทั้งหมดไปปรึกษาทนายอานนท์เพื่อติดตามคดีนั้น
ล่าสุด วันที่ 6 ก.ย. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายังบ้านของนายท็อป ผู้เสียหาย ใน อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ นายท็อป ผู้เสียหาย เล่าว่า วันเกิดเหตุ 8 มี.ค. 64 ตัวเองได้นั่งซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ในห้องนอนชั้น 2 ของบ้าน จากนั้นก็มีเสียงคนมาพังประตูห้องนอนตัวเอง ตัวเองเรียกถามว่าเป็นใคร เขาก็ไม่ตอบ กระทั่งตัวเองเปิดประตูออกมา ก็เห็นมีตำรวจ 3 นาย ยืนหน้าประตู โดยมีหนึ่งนายถืออาวุธปืนอยู่ในมืออีกด้วย
จากนั้นชายฉกรรจ์ดังกล่าวได้เข้ามาควบคุมตัวเอง จับตัวเองนอนกับพื้น และใส่กุญแจมือตัวเอง ตัวเองจึงสอบถามว่า "มาใส่กุญแจมือข้อหาอะไร" ชายฉกรรจ์จึงตอบว่า "ใส่ไปก่อน ถ้าไม่ผิดจะเอาออกให้เอง" จากนั้นก็มีชายฉกรรจ์อีก 3-4 คน ขึ้นมาค้นห้องตัวเอง ระหว่างที่ชายฉกรรจ์ค้นห้อง ก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า "เจอยาเต็มเลย" ซึ่งตัวเองก็ยังงงเลยว่าในบ้านตัวเองไม่เคยมียาเสพติด แล้วทำไมชายฉกรรจ์ดังกล่าวจึงบอกว่าเจอยาในห้องตัวเอง ตัวเองพยายามสอบถามเขาว่ายาอยู่ไหน แต่เขาก็ไม่มีการแสดงของกลางให้เห็น
จากนั้น ชายกลุ่มดังกล่าวได้เอาโทรศัพท์มาตีที่หน้าของตัวเอง ต่อยตัวเองตามบริเวณใบหน้า พ่อตัวเองจะเข้ามาช่วยเขาก็ไม่ยอม จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวพาตัวเองไปที่ห้องหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นห้องปราบปรามยาเสพติดในกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ และมีการทำร้ายตัวเองตั้งแต่เวลา 14.00-22.00 น. ตอนที่ชายฉกรรจ์นำไปที่ห้องเชือด ถูกชายฉกรรจ์ 3 นาย เค้นสอบหายาเสพติดของกลาง และถูกชายทำร้ายโดยการเอาข้าวสารใส่ผ้า แล้วเอาไปชุบน้ำตีที่หลังหลายครั้ง
หลังจากเวลา 22.00 น. ชายฉกรรจ์ได้ปล่อยตัวเองออกจากห้องเชือด ตัวเองถูกส่งตัวกลับมายัง สภ.บำเหน็จณรงค์ และวันที่ 10 มี.ค. นายท็อปก็ถูกปล่อยตัวไม่ได้มีการแจ้งข้อหา เขาบอกว่าแค่เอาไปขยายผลเท่านั้น ตนยืนยันว่าตัวเองไม่เคยถูกดำเนินคดียาเสพติดมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ถูกดำเนินคดีเสพยาเสพติด ตรวจฉี่เจอที่ ภ.จว.ชัยภูมิ
หลังตัวเองถูกปล่อยตัว ครอบครัวมาพบว่าเงินในบ้านได้หายไปจำนวน 32,460 บาท ครอบครัวจึงมีการเปิดกล้องวงจรปิดดู พบว่าเงินส่วนแรกที่อยู่ในกระเป๋าสีเหลือง 19,000 บาทหายไปทั้งหมด มีเพียงกระเป๋าที่ถูกเปิด เงินส่วนที่สอง 13,460 บาท ในกระเป๋าสีเทา พบว่ามีตำรวจเสื้อน้ำเงินถือเงินอยู่ในมือขวา ครอบครัวจึงมีการไปติดตามเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งตำรวจได้คืนเงินให้ครอบครัวตัวเอง 13,460 บาท เขาอ้างว่าที่เอาเงินจำนวนดังกล่าวไปเพราะว่าเขาค้นเจอในบ้านตัวเอง อะไรที่ค้นเจอเขาจะเอาไปเป็นของกลาง เผื่อว่าเงินดังกล่าวจะเป็นธนบัตรล่อซื้อ ส่วนเงินจำนวน 19,000 บาทที่หายไป ตำรวจชุดดังกล่าวยังไม่มีการออกมาชี้แจงว่าเงินหายไปไหน
ตนยืนยันว่าตัวเองจะเอาเรื่องตำรวจชุดดังกล่าวให้ถึงที่สุด เรื่องที่เขาทำร้ายร่างกายตัวเอง และเรื่องที่เงินในบ้านตัวเองหาย โดยพรุ่งนี้เวลา 13.00 น. ตัวเองก็จะไปชี้ตัวชายฉกรรจ์หรือตำรวจชุดที่มาควบคุมตัวเองที่บ้าน ยืนยันว่าตัวเองจำหน้าบุคคลที่กระทำกับตัวเองได้ทั้งหมด ตอนนี้สภาพจิตใจตัวเองยังแย่ และรู้สึกกลัวจนไม่กล้าออกไปนอกบ้าน
ทีมข่าวได้คลิปจากกล้องวงจรปิด ขณะเกิดเหตุที่ชายฉกรรจ์บุกขึ้นมาชั้น 2 ของบ้านนายท็อป ในเวลา 13.36 น. และพยายามงัดประตูห้องนอนนายท็อป ก่อนที่ชายฉกรรจ์จะเข้าไปกระทำการคุมตัวนายท็อปในห้องนอน
เหตุการณ์ที่ 2 เวลาในกล้อง 13.38 น. ชายเสื้อเหลืองเดินไปที่บันไดบ้านแล้วตะโกนว่า "เจอยาแล้ว" พร้อมกับให้ทุกคนในบ้านนั่งลง จากนั้นชายเสื้อเหลืองก็ทำทีเดินค้นหาสิ่งของบางอย่างในบริเวณบ้านชั้น 2 โดยที่ยังไม่เห็นยาเสพติดของกลาง กระทั่งเวลา 13.39 น. แม่นายท็อปเดินขึ้นมาดูเหตุการณ์บนชั้น 2 แลพ่อนายท็อปก็ได้เดินมาดูเหตุการณ์ที่หน้าห้องนอนนายท็อปด้วย
เวลา 13.43 น. เห็นชายเสื้อขาวเดินออกมาจากห้องข้าง ๆ ห้องนอนนายท็อป มีเงินของแม่นายท็อปเก็บใส่ในกระเป๋าสีเหลือง 19,000 บาท และกระเป๋าสีเทา 13,460 บาท วินาทีดังกล่าวจะเห็นชายเสื้อขาวเดินออกมาจากห้อง แล้วทำท่าทางเหมือนหยิบสิ่งของบางอย่างใส่กระเป๋ากางเกง
เวลา 13.48 น. วงจรปิดจับภาพชายเสื้อน้ำเงินถือกระเป๋าสีเทาที่มือขวา และปืนยาวออกจากห้องข้าง ๆ ห้องนอนของนายท็อป ห้องเก็บกระเป๋าที่ใส่เงิน จากนั้นชายคนดังกล่าวได้ถือกระเป๋าสีเทาเดินไปเดินมาในบริเวณบ้าน ในกระเป๋าสีเทามีเงินจำนวน 13,460 บาท
พล.ต.ต.ฉลอง สุขจันทร์ ผบก.ภ.จว.ชัยภูมิ เผยว่า เหตุที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 มี.ค.64 ที่ผ่านมา เงินที่ตำรวจยึดไปมีเพียง 13,460 บาท ในที่เกิดเหตุและได้คืนเงินให้กับผู้ต้องหาทั้งหมดแล้ว และการเข้าตรวจค้นภายในห้องลูกชายมีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 5 นาย พร้อมด้วยญาติของผู้ต้องหาเข้าไปภายในห้องด้วยกัน จึงไม่น่าจะไปหยิบทรัพย์สินของผู้ต้องหาตามได้
ส่วนที่มีภาพที่เจ้าหน้าที่กำลังกำธนบัตรใส่กระเป๋าด้านหลังกางเกงนั้น ยืนยันว่านายบุญยืน พ่อผู้ต้องหาโวยวายว่าทางเจ้าหน้าที่จะนำยาบ้ามายัดเยียดให้ลูกชาย เพื่อความบริสุทธิ์ใจจึงล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งหมดให้ดูในกระเป๋ามีเงินแค่พันกว่าบาท จึงใส่ไว้ที่กระเป๋าหลัง มีพยานหลักฐานในการเซ็นรับรองทั้งพ่อ และแม่ของผู้ที่ถูกจับกุม ส่วนเงินอีกจำนวน 19,000 บาท ตำรวจชุดจับกุมยืนยันไม่ได้เจอตามที่เป็นข่าว
ด้านนางสมคิด กลิ่นศรีสุข แม่นายท็อป กล่าวว่า หลังเกิดเหตุตัวเองพบว่าเงินเก็บจากที่ตัวเองขายวัวไปจำนวน 32,460 บาท ที่ตัวเองแยกใส่กระเป๋าสีเหลือง 19,000 บาท สีเทา 13,460 บาท ได้หายไปจริง ตัวเองจึงมีการไปแจ้งความและติดตามคดี กระทั่งพบว่าตำรวจชุดที่มาบุกค้นที่บ้านตัวเอง เขาได้เอาเงินตัวเองไป บอกว่าได้เอาเงินตัวเองไปแค่ 13,460 บาท เพราะตำรวจอ้างว่าเป็นเงินของกลางได้จากการตรวจค้น ส่วนเงินอีก 19,000 บาท ตำรวจเขาบอกว่าเขาไม่ได้เอาไป ตนยอมรับว่าวันเกิดเหตุ ตำรวจชุดดังกล่าวมีการเอาเงินมาให้ตัวเองดู พร้อมกับถ่ายรูปธนบัตรให้ตัวเองดูจริง เขาอ้างว่าเป็นเงินจากการล่อซื้อ แต่ตัวเองไม่รู้ว่าเงินดังกล่าวคือเงินของตัวเอง
ตำรวจคืนแค่เงิน 13,460 บาทให้ตัวเอง ส่วนเงิน 19,000 บาท เขาบอกว่าเขาไม่รู้เรื่อง ตัวเองก็ไม่มีหลักฐานเอาผิดกับใคร ย้อนกลับไปวันเกิดเหตุ ยอมรับว่าตัวเองตกใจมาก ตำรวจเข้ามาไม่มีหมายค้นแสดงให้ตัวเองรับทราบแต่อย่างใด อีกทั้งเขาได้ทำร้ายลูกชายในห้องนอนเกินกว่าเหตุอีกด้วย ตัวเองได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของลูกชายตัวเองแทบใจสลาย เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ถ้าวันนั้นลูกชายตัวเองเป็นอะไรไป ตัวเองก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบ ให้เงินตัวเอง 10 ล้านบาท หรือ 100 ล้านบาท ก็ไม่สามารถทดแทนชีวิตลูกชายได้
ตัวเองแจ้งความเรื่องเงินตัวเองหาย และเรื่องลูกชายถูกทำร้ายร่างกายตั้งแต่เกิดเหตุช่วงเดือนมีนาคม ตอนนี้คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า ถ้าตำรวจชุดดังกล่าวเขามาขอโทษตัวเองตัวเองก็จะไม่ให้อภัย เพราะตอนที่ลูกชายถูกเขาทำร้าย ตัวเองร้องขอเขาแล้ว เขายังไม่หยุด ถ้าวันเกิดเหตุบ้านตัวเองไม่มีกล้องวงจรปิด เหตุการณ์ครั้งนี้คงหาคนรับผิดชอบไม่ได้ และคิดว่าตัวเองคงไม่ได้เงินจำนวน 13,460 บาท คืนมา ซึ่งเงินแต่ละบาทกว่าตัวเองจะได้มา ต้องแลกกับการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย