กรณี พ.ต.อ.ศิวัชณัฏฐ์ คุ้มทรัพย์ ผกก.สภ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี รับแจ้งว่ามีเหตุชายรายหนึ่ง อายุ 44 ปี ก่อเหตุข่มขืนกระทำชำเราหลานสาว อายุ 13 ปี หลังรับแจ้งจึงใช้เวลาวางแผน และสามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุได้ ก่อนจะคุมตัวไปแจ้งข้อกล่าวหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กยินยอมหรือไม่ก็ตาม พร้อมนำมาสอบสวนที่ สภ.ประจันตคาม โดยผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
สำหรับเด็กหญิงดังกล่าวเป็นเด็กเล่าเรียนดี ความประพฤติเรียบร้อย ก่อนหน้านี้ได้พักอาศัยอยู่กับปู่-ย่า ส่วนพ่อแม่มีปัญหากัน จึงทำให้ไม่มีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด กระทั่งชายคนดังกล่าวในฐานะลูกเขยของบ้าน ได้ลงมือก่อเหตุกระทำชำเราตลอดระยะ 7-8 เดือน ทั้งนี้ภายหลังทราบชื่อผู้ก่อเหตุ นายอพิเชฐ เดชสุภา อายุ 44 ปี ประกอบอาชีพผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
ล่าสุดวันที่ 8 ก.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาที่ หมู่ 2 ต.หนองแสง อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นบ้านพักของ ด.ญ.น้ำผึ้ง (นามสมมติ) ผู้เสียหาย พบว่าด้านหน้าบ้านถูกล็อกกุญแจไว้
ทีมข่าวเดินทางมาที่ สภ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ขณะที่ลงพื้นที่ญาติพี่น้องของผู้ก่อเหตุ ได้เดินเข้ามาเยี่ยมผู้ต้องหา ทีมข่าวพยายามเข้าไปสอบถาม แต่ญาติพี่น้องไม่ประสงค์ที่จะให้สัมภาษณ์ อ้างว่าเป็นญาติห่าง ๆ และไม่ได้รู้รายละเอียด เพิ่งจะทราบเรื่องตอนนี้ยังตกใจอยู่
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาผู้ก่อเหตุมาสอบปากคำเพิ่มเติม ระหว่างที่ผู้ก่อเหตุเดินออกมาจากห้อง ทีมข่าวพยายามสอบถามว่า อยากจะขอโทษเด็กหรือไม่ แต่ผู้ก่อเหตุไม่พูดหรือกล่าวอะไรทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ตำรวจได้ทำแผนประกอบคำสารภาพ โดยจำลองสถานการณ์ที่สถานีตำรวจ เพราะไม่ได้ไปทำแผนที่จุดเกิดเหตุจริง ๆ เนื่องจากสภาพจิตใจของเด็กค่อนข้างจะย่ำแย่มาก ๆ เกรงว่าจะสร้างความอับอายให้กับทางครอบครัวมากกว่าเดิม จึงนำตุ๊กตามาจำลอง ซึ่งผู้ก่อเหตุให้การอ้างว่า นอนเล่นกับหลาน แต่เกินเลยจึงถอดเสื้อผ้าเด็กออก ก่อนลงมือก่อเหตุและออกไปทำงานตามปกติ
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพ และถูกตั้งข้อหา กระทำชำเราเด็กอายุ ไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กไม่ได้ยินยอม ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (9 ก.ย.64) จะส่งตัวไปฝากขังต่อไป
ทั้งนี้ผู้เสียหายถูกกระทำชำเรามาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 63 แต่จำวันเวลาไม่ได้ และจำได้แค่ครั้งล่าสุดวันที่ 27 ก.พ.64 จากนั้นผู้เสียหายพยายามบอกญาติว่าถูกข่มขืน กระทั่งวันที่ 19 ส.ค.64 พ่อของผู้เสียหายออกมาจากเรือนจำ แต่ผู้ก่อเหตุขู่ไว้ว่า "อย่าออกไปไหนกับพ่อ" ก่อนจะตัดสินใจฟ้องพ่อว่าถูกข่มขืน
นายปรีชา (นามสมมติ) ปู่ของผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนกับภรรยาเลี้ยงดู ด.ญ.น้ำผึ้ง มาตั้งแต่เกิด เพราะแม่ของเด็กไปมีสามีใหม่ และพ่อของเด็กติดคุกคดียาเสพติด เพิ่งจะออกจากคุกมาได้ 7 วัน ส่วนตนประกอบอาชีพข้าราชการ เมื่อปี 63 ก็ถูกกล่าวหาว่าทุจริตจึงต้องติดคุก และเพิ่งจะออกมาจากคุกได้ประมาณ 3 เดือน
แต่ก่อนที่ตนจะออกจากคุก ด.ญ.น้ำผึ้ง ต้องอาศัยอยู่กับย่า 2 คน และเมื่อช่วงต้นปีภรรยาของตนได้ล้มป่วยโรคมะเร็งกระทั่งเสียชีวิต ด.ญ.น้ำผึ้งต้องอยู่กับลูกเขยและลูกสาวของตน ระหว่างที่อยู่ด้วยกันก็นอนห้องเดียวกันตลอด เมื่อตนออกมาจากเรือนจำ ตนก็กลับมาอยู่ที่บ้านหลังเดียวกัน และตนก็ไม่ทราบว่า ด.ญ.น้ำผึ้งมีแฟนแล้วหรือยัง เพราะ ด.ญ.น้ำผึ้ง ไม่เคยมาเล่าอะไรให้ฟัง และมักจะมีพฤติกรรมนิ่งเงียบ แต่เป็นเด็กที่เรียนเก่งและเล่นกีฬาเก่งด้วย
เมื่อพ่อของ ด.ญ.น้ำผึ้ง ออกจากคุกได้พา ด.ญ.น้ำผึ้งไปอยู่ด้วยแค่ 2 วัน และก็แจ้งตำรวจเข้ามาจับลูกเขยของตน หลังเกิดเรื่องตนไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้เสียหายและผู้ก่อเหตุ ด้วยเหตุนี้ตนจึงยังไปปักใจเชื่อว่า ฝ่ายไหนถูกหรือผิด เพราะช่วงที่เกิดเหตุตนอยู่ในเรือนจำ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ผู้ก่อเหตุทำงานเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และอาจจะไปรู้ความลับเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด ทำให้พ่อของผู้เสียหายซึ่งมีประวัติเกี่ยวกับยากลัวว่าจะไม่ปลอดภัย และอาจจะใส่ร้ายผู้ก่อเหตุ เพราะก่อนที่จะไปแจ้งความก็ไม่ได้มาปรึกษาใคร แต่พ่อของผู้เสียหายกับผู้ก่อเหตุไม่เคยมีปัญหามาก่อน สำหรับพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุเวลาอยู่กับหลานสาว ตนก็เห็นว่าปกติดี อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่ปักใจเชื่อใคร เพราะตอนนี้ทุกคนก็ยังรู้สึกตกใจกันหมด