กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี รับแจ้งมีคนเสียชีวิตในบ้านทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น เลขที่ 34 หมู่บ้านธนพัฒนา ซอยนนทบุรี 8 ซอย 2 ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบพร้อมประสานแพทย์เวรจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งรุดเข้าตรวจสอบ
เมื่อไปถึงพบร่างของนางสำลี หรือ “ยายสำลี” อายุ 91 ปี นอนเสียชีวิตบนที่นอนบริเวณชั้น 1 สภาพศพเริ่มกลิ่นเหม็นเน่าลอยคลุ้งกระจายทั่วบ้าน ตามร่างกายไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้าย แพทย์ชันสูตรคาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 5 วัน ก่อนจะนำศพส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติรังสิต เพื่อสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป
ล่าสุดวันที่ 15 ก.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ไปยังบ้านหลังดังกล่าว สอบถามกับนางอารยา มัยภูคา หรือ “ป้าน้อย” อายุ 67 ปี เพื่อนบ้าน กล่าวว่า บ้านหลังนี้มีผู้อาศัยอยู่ด้วยกัน 2 คน ได้แก่ ผู้ตายและน.ส.ทัศนีย์ หรือ “ป้าทัศ” ลูกสาววัย 62 ปี ซึ่งเดิมทีลูกสาวเป็นเจ้าของบ้าน อยู่เพียงคนเดียวมาหลายปี ส่วนตนเพิ่งย้ายมาอยู่ในซอยนี้ได้ 4-5 ปี ขณะที่ผู้เสียชีวิตเพิ่งจะย้ายเข้ามาได้ประมาณ 1 ปี เนื่องจากก่อนหน้านี้อาศัยอยู่อีกที่หนึ่ง แต่เพื่อนที่อาศัยอยู่ด้วยเสียชีวิตไป ลูกสาวก็เลยไปรับมาอยู่ด้วย
ที่ผ่านมาตนก็เห็นว่ายายสำลี เป็นคนแก่ที่ตัวเล็ก แต่แข็งแรงมาก ๆ มักจะพากันเดินออกไปซื้อของแถวหน้าปากซอยประจำ และทุกเช้าจะออกมารดน้ำต้นไม้ กวาดหน้าบ้านเสมอ กระทั่งเมื่อประมาณเดือนก.ค.64 ยายสำลีมีอาการป่วย เหมือนไข้ขึ้น ร่างกายอ่อนแรง ตนกับเพื่อนบ้านก็กลัวว่าจะติดเชื้อโควิด-19 เพราะตอนนั้นคนภายในซอยเริ่มมีคนติดเชื้อโควิด-19 บ้างแล้ว จึงช่วยกันส่งข้าวส่งน้ำหายาสมุนไพรมาแขวนไว้ให้ที่รั้วหน้าบ้าน
ประมาณเดือนส.ค.64 ตนกับเพื่อนบ้านก็เริ่มเอะใจ เพราะผู้ตายไม่ออกมาข้างนอกเลย สถานการณ์เริ่มผิดปกติ ตนกับเพื่อนบ้านจึงโทรศัพท์เรียกตำรวจให้เข้ามา แต่ก็ยังพบว่าผู้ตายยังมีชีวิต นอนเล่นอยู่ในบ้านตรงที่เจ้าหน้าที่เข้าไปพบศพเมื่อวานนี้ (14 ก.ย.64)
ถัดมาวันที่ 12 ก.ย.64 ช่วงเที่ยง ๆ ตนกลับจากซื้อกับข้าวแล้วขับรถเข้ามาในซอย กำลังจะเข้าบ้าน สังเกตเห็นลูกสาวของผู้ตายยืนอยู่ที่ลานหน้าบ้าน แต่ไม่เห็นผู้ตายออกมา ตอนนั้นก็ไม่เอะใจเพราะคิดว่าคงป่วยแล้วนอนอยู่ จึงเอยทักทายและสอบถามป้าทัศ ดังต่อไปนี้
ป้าน้อย : กินข้าวหรือยัง?
ป้าทัศ : อุ้ย ถามถูกที่เลย ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย
ป้าน้อย : เอาข้าวให้แม่กินด้วยนะ แล้วแม่ทำอะไร (ตนก็เลยแบ่งกับข้าวไปให้)
ป้าทัศ : แม่นอนหลับ
จากนั้นเมื่อ “ป้าทัศ” รับถุงกับข้าวไป แล้วเดินไปเปิดประตูบ้านเพื่อจะเอาไปเก็บ ทันใดนั้นกลิ่นเหม็นก็ฟุ้งออกมาอย่างจัง ตนตกใจมาก ๆ จึงถามกลับไป
ป้าน้อย : ทำไมบ้านเหม็นขนาดนี้ ยายนอนอยู่เหรอ ยายได้อาบน้ำหรือเปล่า?
ป้าทัศ : อาบ แม่เข้าห้องน้ำเองได้
จากนั้นตนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ แล้วกลับเข้าบ้านไป แต่ภายในใจก็เอะใจมาก ๆ กระทั่งเมื่อวานนี้ ช่วงกลางวันเพื่อนบ้านอีกคนเริ่มทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว ประกอบกับมีแมลงวันเยอะมาก ๆ จึงตะโกนไปว่า “เหม็น ๆ” จากนั้นก็เห็นว่า “ป้าทัศ” ออกมาทำความสะอาดหน้าบ้าน คาดว่าคงได้ยินเสียงเพื่อนบ้านทัก กระทั่งค่ำ กลิ่นก็ไม่หายไป แมลงวันก็ยังอยู่ และไม่เห็น “ยายสำลี” ออกมานานมากแล้ว กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นในบ้าน เพื่อนบ้านจึงตกลงกันว่าต้องโทรศัพท์หาตำรวจ เมื่อตำรวจมาถึงก็พยายามสอบถามกับ “ป้าทัศ” แต่ก็ให้การวกวนจับใจความไม่ได้ เหมือนคนสติไม่ดี
ทั้งนี้ ตนจึงเข้าไปถามว่าแม่นอนอยู่ในลักษณะแบบไหน ป้าทศก็บอกว่า “หน้าดำปี๋” สิ้นประโยคนี้ เจ้าหน้าที่จึงมั่นใจว่าเหตุการณ์ไม่น่าปกติ จึงเข้าไปตรวจสอบดูในบ้านก็พบว่ายายสำลีเสียชีวิตอยู่บนพรมสีน้ำตาลภายในบ้านติดกับประตูทางออก สวมกางเกงสีดำขาสั้น เสื้อสีขาวหลุดลงมาอยู่ที่บริเวณเอว ในลักษณะนอนหงาย แขนขากางออก ผิวหนังพองอืด เป็นสีดำและน้ำตาลเข้ม มีหนอนไชยั้วเยี้ย เลือดและน้ำเหลืองไหลออมาจนแห้งติดพื้น ใบหน้าดำสนิท แทบมองไม่เห็นตา จมูก ปาก รอบ ๆ มีหม้อหุงข้าว ถ้วยชาม ฟันปลอม แว่น นมข้น ยาสามัญประจำบ้าน ถุงน้ำซุป เสื้อผ้าและขวดน้ำวางอยู่กระจัดกระจาย เจ้าหน้าที่และแพทย์จึงนำร่างส่งชันสูตร
อย่างไรก็ตาม ป้าน้อย ยังกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้ตนก็พอจะทราบอยู่บ้างว่า “ป้าทัศ” มีอาการทางสมอง เพราะเขาบอกว่าต้องกินยา แต่ตนก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพราะอาการของป้าทศยังสามารถสื่อสารพูดคุยรู้เรื่องเหมือนคนปกติ ไม่คิดว่าจะหนักถึงขั้นไม่รู้ว่าแม่ตัวเองเสียชีวิต ส่วนกับญาติคนอื่น ๆ ของทั้งคู่ ส่วนตัวก็ไม่เคยเห็นใครเข้ามาที่บ้านหลังดังกล่าวเลย
ผ่านไปประมาณ 10-15 นาที ป้าทัศ หรือ น.ส.ทัศนีย์ เปิดประตูแล้วเดินออกมาจากบ้าน เจ้าตัวสวมเสื้อโปโลสีม่วง ทับด้วยเสื้อถักสีขาว แต่งหน้าทาตาสีม่วงพร้อมกากเพชรวิบวับ ใส่ที่คาดผมสีชมพู แต่สิ่งที่ออกมากับป้าคือกลิ่นเหม็นเน่าจากภายในบ้าน ซึ่งจากที่ทีมข่าวสัมผัสได้คือเหม็นมาก คล้ายกับของเสียที่ถูกหมักไว้เป็นเวลานาน
ป้าทัศ กล่าวว่า ภายในบ้านอาศัยอยู่กับแม่ 2 คน ตนรู้แค่ว่าแม่ไม่สบาย ป่วยด้วยโรคประจำตัว เบาหวาน ความดัน และแม่ชอบนอนหลับเมื่อมีเวลาว่าง เมื่อวานนี้ (14 ก.ย.64) เจ้าหน้าที่ได้มารับตัวไปรักษาที่ รพ.พระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี จากนั้นตนก็ไม่รู้อะไรอีกเลย ไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่เอาแม่ไปส่งโรงพยาบาลทันหรือเปล่า ตนก็ยังมีความหวังว่าแม่ยังอยู่
โดยช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ตนก็ยังคุยกับแม่อยู่บ้าง “แล้วแต่ความสบายใจ” ก่อนที่เจ้าหน้าจะเข้ามา แม่ก็นอนหลับข้างประตู ตนก็เรียกแม่ แม่ก็ยังตื่น “แล้วแต่เรา” โดยทั้ง 2 ประโยคนี้หมายความว่า หากป้าทศอยากให้แม่ตื่นมาคุยด้วย ป้าก็จะเห็นว่าแม่ตื่น หรือเมื่อป้าทศอยากคุยกับแม่ ป้าก็จะเห็นว่าแม่คุยด้วย
ส่วนเรื่องของกลิ่นเหม็นที่แรงมาก ๆ นั้น ป้าทศ กล่าวว่า เท่าที่ตนอยู่ในบ้านรวมถึงตอนนี้ก็ไม่ได้กลิ่นเหม็นอะไร และเท่าที่ได้ลองจับตัวแม่ แม่จะตัวนิ่ม เหี่ยว ๆ เหมือนคนแก่ ทุกอย่างยังคงปกติ ตนยืนยันว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่
กระทั่งทีมข่าวแจ้งข่าวร้ายให้ฟัง ป้าทศจึงอุทานออกมาว่า “เหรอ” พร้อมขอบคุณทีมข่าวและอยากบอกกับแม่ว่า “ให้เขาไปสบาย ไม่ลำบากแล้ว หลังจากนี้ก็คงต้องอยู่คนเดียว มั่นใจว่าสามารถดูแลตัวเองได้ พยายามหางานรับจ้างทั่วไปทำไปเรื่อย ๆ เท่าที่ทำได้”
ต่อมาทีมข่าวได้สอบถามไปยังเจ้าหน้าที่กู้ภัย จ.นนทบุรี ที่เข้าไปนำศพของยายสำลี ออกมาและนำส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติรังสิต จึงทราบว่าในช่วงบ่ายของวันนี้ (15 ก.ย.64) ญาติจะมีการนำศพของยายสำลี มาประกอบพิธีฌาปนกิจศพที่วัดแคนอก ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี ทันที
ในเวลา 14.50 น. ครอบครัวของยายสำลี ประมาณ 5 คน ได้เดินทางมาพร้อมกับรถมูลนิธิกู้ภัย เพื่อนำศพของผู้เสียชีวิตเข้าพิธีสวดพระอภิธรรมศพ ไม่มีภาพตั้งหน้าศพ หนึ่งในนั้นจะเห็นว่ามีพระสงฆ์ 1 รูป ทีมข่าวสืบทราบว่าเป็นลูกผู้ชายของผู้ตาย ที่ไปบวชเป็นพระอยู่ในวัดอำภาศิริวงศ์ จ.นครนายก (คลอง 16) ซึ่งวันนี้ทำหน้าที่ทอดผ้าบังสุกุล ก่อนที่จะวางดอกไม้จันทน์หน้าศพของแม่ และกรวดน้ำพร้อมกับญาติ ๆ ด้วยอาการสงบ หลังจากนั้นจึงประกอบพิธีฌาปนกิจศพ ในเวลาประมาณ 15.30 น.
ทีมข่าวพยายามเข้าไปสอบถามกับพระสงฆ์รูปดังกล่าวถึงสาเหตุการเสียชีวิตของแม่ แต่พระลูกชายไม่พูดอะไร โบกมือปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ แล้วเดินขึ้นรถยนต์ญาติที่เดินทางมาด้วยกันทันที ซึ่งทีมข่าวเห็นว่าระหว่างที่มีการสวดพระอภิธรรม พระมหาสุรศักดิ์ สุรสกฺโก ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดแคนอก ได้คุยกับพระลูกชายของผู้เสียชีวิต
พระมหาสุรศักดิ์ บอกว่า ตนไม่ได้ถามข้อมูลส่วนตัวอะไรมาก ส่วนใหญ่จะคุยกันเรื่องธรรมะ เพราะพระลูกชายบอกว่าไม่ได้ติดใจการเสียชีวิตของแม่ เพราะในใบมรณบัตรก็ระบุว่าเสียชีวิตด้วยโรคชรา และทราบเรื่องจากนักข่าว จึงเดินทางไปยังนิติเวช รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติรังสิต การที่ได้บวชถือว่าเป็นการปิดประตูอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หรือปิดประตูการกระทำความชั่วของมนุษย์ ทั้งทางกาย วาจา ใจแล้ว และการเกิดแก่เจ็บตายทุกคนจะต้องพบเจอ
นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังสวด “อิทัปปัจจยตา” คือบทสวดที่แสดงให้เห็นว่า ผลทุกอย่างมาจากเหตุ ทุกครั้งที่เห็นผลอะไรก็ตามเกิดขึ้น ถ้าสืบสาวไปดูก็จะต้องพบเหตุอะไรอย่างหนึ่งเสมอ ทั้งในลักษณะสวดให้จากวัด และไปสวดให้ฟังที่บ้าน พระลูกชายเชื่อว่าการที่ได้สวดบทนี้ให้แม่ฟังในช่วงเวลาก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตถือเป็นผลและอำนาจ จึงทำให้ศพแม่ไม่ส่งกลิ่นเหม็นเป็นอภินิหารอย่างหนึ่ง วันนี้ก็ได้ทำหน้าที่ของลูกชายครั้งสุดท้าย ดังนั้น ตอนที่ยืนอยู่หน้าศพแม่ก็สวดบทสวดนี้เช่นกัน เพราะอยากให้วิญญาณของแม่ไปสู่สุคติ