วันที่ 17 ต.ต. 61 เกิดเหตุรถยนต์ ยี่ห้อนิสสัส เทียน่า สีดำ ทะเบียน ฆณ 8995 กรุงเทพฯ พุ่งชนท้ายรถกระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีน้ำเงิน ติดตั้งตู้บรรทุกของ หมายเลขทะเบียน ฒภ 8601 กรุงเทพฯ ก่อนที่ไฟจะลุกขึ้นบริเวณห้องเครื่องของรถยนต์นิสสันฯ เป็นเหตุให้มีผู้ติดค้างภายในรถและได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ทราบชื่อต่อมาคือ นายรัฏฐกานต์ โกมลรัตน์ อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล อายุ 40 ปี
ต่อมา นายรัฏฐกานต์ได้เสียชีวิตแล้ว เบื้องต้น ญาติได้เดินทางเข้ามารับศพที่ รพ.เจ้าพระยา ซึ่งญาติต่างอยู่ในอาการโศกเศร้า
ด้าน
ร.ต.อ.ศรัณยพงศ์ อ่อนสิงห์ รองสารวัตรสายตรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือ เปิดใจว่า นอกจากตนเองแล้วยังมีเพื่อนตำรวจอีก 2 นายที่ลงไปช่วยเหลือด้วย คือ ด.ต.ธีรวัฒน์ ชาวนาห้วยตะโก เป็นคนขับรถ และด.ต.วีระ ลิ่มเจริญ เป็นคนทุบกระจกรถที่ไฟกำลังลุกไหม้
ร.ต.อ.ศรัณยพงศ์ กล่าวต่อว่า ตนได้ขับรถจากกองกับกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง มุ่งหน้าเข้าไปกรุงเทพฯ เพื่อไปรับเสด็จฯ แต่ขณะขับรถไปถึงบริเวณบนทางคู่ขนานลอยฟ้า หน้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า พบว่ามีรถเก๋งกำลังถูกไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จึงได้จอดรถแล้วตะโกนไปถาม เจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูที่อยู่ตรงจุดเกิดเหตุว่ามีคนติดอยู่ในรถหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตอบกลับไปว่ามีคนติดในรถ จากนั้นตำรวจทั้ง 3 นาย ที่นั่งรถมาก็พากันวิ่งลงมาเพื่อช่วยเหลือ
โดยขณะที่ลงไปช่วยไฟกำลังลุกไหม้ ด้าน ด.ต.วีระ ก็ไปหาค้อนมาทุบกระจกรถ จังหวะนั้นมีพลเมืองดีขับรถมาแล้วเอาค้อนให้เพื่อทุบกระจกรถ ส่วนร.ต.อ.ศรัณยพงศ์ก็ใช้เท้าถีบกระจก จนประตูรถเด้งออก จากนั้นก็รีบนำตัวคนเจ็บออกมาทันที
ส่วนคนเจ็บตอนที่เข้าไปช่วยยังมีสติอยู่ แต่เงียบไม่พูดอะไร ใช้เวลาประมาณ 2-3 นาที ถึงเอาร่างของผู้บาดเจ็บออกมาได้ ตอนที่วิ่งเข้าไปช่วย ร.ต.อ.ศรัณยพงศ์ ซึ่งตนไม่ได้คิดอะไร นอกจากคิดว่าต้องช่วยเหลือเอาคนเจ็บออกมาให้ได้เร็วที่สุด คิดแค่ว่าคนที่อยู่ในรถต้องรอดชีวิต ที่กล้าเข้าไปช่วย เพราะว่าช่วงนั้นไฟยังลุกไม่มากเท่าไร
ร.ต.อ.ศรัณยพงศ์ บอกว่า ขณะนั้นผู้บาดเจ็บมีเลือดออกตามร่างกาย มีแผลที่หน้าผาก ใบหน้า และขา ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ และลงไปช่วย หลังจากช่วยเหลือเสร็จ เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด ตนก็ใส่ไปปฏิบัติหน้าที่ต่อทันที เพราะมีเสื้อคลุมทับอีกชั้น จึงไม่ได้เป็นปัญหา ตอนนี้ทราบว่าผู้บาดเจ็บที่ช่วยได้เสียชีวิตแล้ว และตนขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวด้วย ซึ่งตำรวจทางหลวงได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่และเต็มความสามารถแล้ว
ด้าน
นายวินิจจัย ชลานุเคราะห์ นักสื่อสารมวลชนสายยานยนต์ เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าว รถเก๋งชนท้ายรถกระบะด้วยความแรง จนทำไฟลุกไหม้หน้ารถ เป็นไปได้ว่าความแรงของการชน ทำให้เครื่องยนต์เสียหาย แล้วระบบทางเดินน้ำมัน หรือท่อน้ำมันในห้องยนต์แตกหลุด ฉีกขาด เมื่อเกิดความเสียหาย ท่อแตก น้ำมันจะถูกแรงดันให้พุ่งออกมาเป็นละอองฝอย เมื่อละอองน้ำมันไปโดนความร้อนของห้องเครื่อง ท่อไอเสีย หรือตัวกรองความร้อนไอเสีย ซึ่งมีอุณหภูมิสูงหลายร้อยองศาเซลเซียส ทำให้น้ำมันลุกเป็นเปลวไฟ ลามไปไหม้หน้ารถยนต์ได้
ขณะเดียวกันหากเป็นรถที่ติดแก๊ส โอกาสที่ไฟจะลุกมีน้อยกว่า เนื่องจากหากแก๊สรั่วโดนความร้อนจะไม่ติดไฟ นอกจากจะมีประกายไฟจึงจะเกิดไฟไหม้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อไฟลุกไหม้ในรถ คนจะตกใจคิดว่าระบบเซ็นทรัลล็อกจะไม่ทำงาน แต่แท้จริงแล้วถึงประตูจะเป็นระบบล็อกไฟฟ้า แต่ปุ่มล็อกข้างมือจับยังทำงานได้ ผู้ใช้รถเพียงแค่ปลดล็อก ดึงปุ่มล็อกประตู แล้วก็เปิดประตูรถออกได้ แต่เนื่องจากเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ผู้เสียหายที่ได้รับบาดเจ็บอาจสลบ ตกใจ หรือมึนงง ไม่ได้ปลดล็อกที่ประตูรถ ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้