จากกรณีนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ และนายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา จากเพจหมอปลาช่วยด้วย นำผู้เสียหายมายังกระทรวงสาธารณสุข เพื่อร้องเรียนให้ตรวจสอบศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่วัดแห่งหนึ่งใน อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรีหลังพบว่าไม่เป็นไปตามกฎระเบียบของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
วันที่ 20 ก.ย. 64 เวลาประมาณ 10.00 น. นายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ และนายธนวัฒน์ ชาวสมุทร หรือ โกบอย พาผู้เสียหายเดินทางมาที่กระทรวงยุติธรรม เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนกรณีขอให้ตรวจสอบศูนย์สงเคราะห์บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดวัดท่าราษฎร์บำรุง
นอกจากนี้ ทนายความยังได้เดินทางมาพูดคุยกับว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.กระทรวงยุติธรรม และนายปริญญ์วัฒน์ เปี่ยมปิ่นวงศ์ ผอ.ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม
ด้านว่าที่ร้อยตรีธนกฤต เปิดเผยว่า ท่านรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมมอบหมายให้ตนมารับเรื่องกับทางผู้เสียหาย กรณีที่คนที่เข้าไปทำการรักษาในศูนย์การบำบัดแห่งหนึ่ง เกิดปัญหาถูกทำร้ายร่างกาย และทราบว่ามีบุคคลที่เสียชีวิตด้วย ต้องไปตรวจสอบสาเหตุของการเสียชีวิตอีกครั้ง ส่วนเรื่องของการหน่วงเหนี่ยวกักขัง และการเรียกรับเงิน เบื้องต้นจะต้องตรวจสอบสถานที่ดังกล่าวว่าได้รับอนุญาตให้เปิดเป็นสถานพยาบาลตามกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุขหรือไม่ ทั้งนี้ ได้ประสานงานไปทางเลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขลงมาช่วยดู และรับเรื่องนี้เพราะมีผู้บำบัดรักษาจำนวนมากถึง 349 คน มีการกระทำในลักษณะการละเมิด
สำหรับกรณีนี้ทางสาธารณสุขจังหวัดจะมีการลงพื้นที่ เป็นกฎหมายที่กระทรวงสาธารณสุขสามารถที่ดำเนินการได้ทันที ถ้ามีการกระทำผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ทางสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี และยุติธรรมจังหวัดกาญจนบุรีจะต้องลงพื้นที่ร่วมกัน ในส่วนของสถานที่ดังกล่าวจะต้องไปตรวจสอบอีกครั้งว่าใครเป็นผู้บริหาร มีการแบ่งงานและได้รับบาดเจ็บอันตรายแก่กายและใจอย่างไร
จากนั้น เวลาประมาณ 11.30 น. นายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ และโกบอย พร้อมด้วยหมอปลา พาผู้เสียหายเดินทางมาที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนกับ นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ สธ.
นายเนม (นามสมมติ) อายุ 21 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนเริ่มเสพยาตั้งแต่ ป.6 ตนเริ่มจากขายก่อนที่จะเสพยาเอง กระทั่งแม่ของตนพยายามบอกให้เลิกข้องเกี่ยว และตนเสพยาจนมีอาการหนักถึงขั้นคิดว่าจะมีคนมาแอบฟัง จะมีคนทำร้าย เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ตนจึงตัดสินใจเข้ารับการบำบัด ครั้งแรกที่เข้าไปในสถานที่บำบัดดังกล่าว มีลักษณะเหมือนคุก ห้องน้ำก็ไม่มีที่กั้น ทำให้เห็นภาพของคนที่นั่งขับถ่าย และกลุ่มคนที่อยู่ข้างในนั้นชกต่อยกันระเนระนาด
โดยในช่วงบ่ายของทุกวัน กู้ภัยซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ทางวัดแต่งตั้งขึ้นมาให้ดูแล อายุประมาณ 20 กว่าปีขึ้นไป จะเข้ามาทำโทษคนที่ทะเลาะกัน โดยใช้ท่อนเหล็กกับไม้คมแฝกตีเพื่อทำโทษ บางครั้งก็ 20-30 ครั้ง กิจกรรมในแต่ละวันไม่มีตารางที่แน่นอน แต่หลัก ๆคือ เวลาประมาณ 22.00-03.00 น. คือเวลานอน เวลาประมาณ 03.00 - 07.00 น. คือเวลาสวดมนต์ และเวลาประมาณ 13.30-15.00 น. เป็นเวลาอาบน้ำ โดยจะอาบน้ำวันละ 1 ครั้ง ปล่อยให้ไปอาบน้ำครั้งละ 10 คน และต้องอาบน้ำคนละ 5 ขัน ถ้าเกินกว่านั้นจะถูกทำโทษ และถ้ามีความผิดมาตอนเช้าก็จะถูกทำโทษด้วยเช่นกัน วิธีการทำโทษคือการตี
ทั้งนี้ ตนกับเพื่อนรวมกันแล้วประมาณ 14 คน เคยคิดจะหนี แต่ถูกจับได้เสียก่อน จึงถูกลงโทษด้วยการใส่กุญแจมือเหมือนนักโทษคู่กับเพื่อน และโดนตีตลอดระยะเวลา 1 เดือน ส่วนกฎระเบียบในแต่ละวันจะตั้งขึ้นมาใหม่ตลอด แล้วแต่ความพึงพอใจของคนที่ดูแล เช่น ทุกวันจะมีเวลาปล่อยให้สูบยาเส้นกับบุหรี่ ถ้าไม่ยอมสูบในเวลานั้น แล้วไปแอบสูบแล้วถูกจับได้จะถูกทำโทษด้วยการตี วิธีการทำโทษที่หนักสุด คือถูกสั่งให้ถอดเสื้อผ้าก่อนจะรุมเตะ และตีด้วยท่อนเหล็ก อีกทั้งวันดีคืนดีก็สั่งให้ทุกคนถอดเสื้อผ้า บางวันก็สั่งให้กินข้าวเปล่า และข้าวบูด
ซึ่งหลังจากที่กินห้ามขับถ่ายเด็ดขาด มีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงเย็นของวันเข้าพรรษา ผู้ดูแลได้คลุกข้าวบูดใส่ขันเหมือนให้หมา และบังคับให้กิน ซึ่งหลังจากที่กิน ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะท้องเสีย บางคนก็อุจจาระราดบนที่นอน จนต้องใช้ชีวิตแบบเดินลุยกองอุจจาระ เพื่อเดินไปแปรงฟัน ทั้งนี้ หากถูกสั่งให้ทำอะไรต้องทำตาม และไม่สามารถต่อรองได้ เพราะถ้ายิ่งสู้ จะยิ่งถูกทำโทษหนัก
นอกจากนี้ เวลาที่คุยโทรศัพท์กับครอบครัว ผู้ดูแลจะบังคับให้เปิดลำโพง และมีคนเฝ้าอยู่ตลอด เพื่อคอยดูว่าเราจะพูดอะไร ซึ่งในสถานที่นั้นไม่มีผู้คุม มีแต่ขี้ยาคุมกันเอง และกู้ภัยที่วัดตั้งขึ้น ซึ่งจะเช้ามาดูแลตั้งแต่ 15.00 - 17.00 น. ทั้งนี้แม่ของตนทราบเรื่อง และเข้ามารับตน หลังจากที่รุ่นพี่ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันได้คุยโทรศัพท์กับพ่อแม่ตัวเอง และอาศัยจังหวะที่ผู้คุมเดินไปที่อื่น
โดยแม่ของตนทราบเรื่อง และเข้ามารับตน หลังจากที่รุ่นพี่ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันได้คุยโทรศัพท์กับพ่อแม่ตัวเอง และอาศัยจังหวะที่ผู้คุมเดินไปที่อื่น บอกกับพ่อแม่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ระหว่างที่ตนบำบัดอยู่ข้างในตนเคยเห็นคนเสียชีวิตประมาณ 2 ครั้ง คนแรกคือเพื่อนที่ จ.ร้อยเอ็ด อายุประมาณ 20 กว่าปี ซึ่งเป็นคนที่ถูกทำโทษให้อดข้าว 1 เดือน คือกินวันละมื้อ แต่พออดนาน ๆ ธรรมชาติมนุษย์ก็จะกินไม่ไหว ทำให้ร่างกายผอมซูบ และอยู่ดี ๆ ก็ล้มต่อหน้า เมื่อผู้ดูแลเข้ามาดูก็พบว่าไม่หายใจแล้ว ก่อนจะพาตัวออกไป ซึ่งหลังจากที่พาตัวออกไปก็ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ และมีคนแก่อีกคนเคยเสียชีวิต เพราะอุบัติเหตุสะดุดล้มหัวฟาดพื้น
นอกจากนี้ ก่อนที่ตนจะเข้าไปบำบัด เคยมีคนกล่าวเตือนว่าตอนที่อยู่ข้างใน อย่าไปแข็งกระด้างกับเขา เพราะเคยมีคนถูกกระทืบ จนซี่โครงหักก่อนจะไปเสียชีวิตที่บ้าน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้นตนไม่ได้กลัวแล้ว แต่ตนไม่อยากให้คนอื่นมาเจอ เลยอยากให้ยุบสถานที่นี้ไป
นางสมศรี (นามสมมติ) แม่ของผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ปกติตนจะใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ และลูกชายจะอาศัยอยู่ที่ต่างจังหวัดกับตายาย ซึ่งลูกชายมีพฤติกรรมเสพยานานแล้ว ตนรู้จักสถานบำบัดแห่งนี้ เพราะมีนายหน้าเป็นตำรวจที่อยู่ในร้อยเอ็ด แต่ตนไม่ทราบว่าอยู่สังกัดไหน แม้แต่ชื่อตนก็ไม่เคยถาม เพราะเรียกแค่ว่านาย โดยตำรวจรายนั้นทำทีเข้ามาบอกว่าถ้าไปบำบัดที่นี่จะหาย บางคนอาการดีขึ้นจนไปบวช ด้วยความที่ตนอยากจะให้ลูกหายดีตัดสินใจให้พาไปบำบัด เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 64 โดยนายหน้าได้พาตัวลูกชายไปที่สถานที่บำบัด แล้วให้เซ็นเอกสารโดยที่ไม่ได้บอกตนมาก่อน
เดือนแรกที่ลูกชายเข้าไปอยู่ ผู้ดูแลจะไม่อนุญาตให้ติดต่อคนภายนอก กระทั่งเดือนที่ 3 ถึงอนุญาตให้ติดต่อครอบครัวได้ แต่ขณะที่ลูกชายคุยโทรศัพท์ เจ้าหน้าที่จะยืนถือท่อนเหล็กอยู่ใกล้ ๆ เพื่อบังคับให้ลูกพูดดี ๆ ซึ่งลูกชายก็ฝืนใจพูดว่าสบายดี จนมีอยู่ครั้งหนึ่งลูกชายบอกกับตนผ่านโทรศัพท์ว่าขอให้ตนซื้อยาทาแผลให้หน่อย และหลังจากที่วางโทรศัพท์ลูกชายของตนก็ถูกตี 20 ครั้ง กระทั่งมีเด็กวัยรุ่นแถวบ้านรายหนึ่งได้ออกมาจากสถานที่บำบัดดังกล่าวก่อน และได้มาบอกกับตนว่าให้ตนรีบไปรับลูกออกมา เพราะข้างในมีการรุมทำร้าย วันที่ 14 ก.ย. 64 ตนได้เดินทางไปรับลูกพร้อมกับตำรวจ สภ.ด่านมะขามเตี้ย แต่วันที่ตนเข้าไปรับได้มีพระสงฆ์รูปหนึ่งน่าจะเป็นรองเจ้าอาวาส บอกว่าถ้าตนจะพาออกไป ตนจะต้องจ่ายเงิน 10,000 บาท เพราะถ้าไม่จ่าย ก็จะไม่ให้ออก แต่ตอนที่เข้าไป ตนเคยจ่ายค่าบำบัดให้แล้ว 30,000 บาท ตนจึงไม่ยอมจ่าย และบอกว่าถ้าไม่ให้พาออกไป ตนจะเอากล้องมาถ่ายทำรายการ พระสงฆ์รูปดังกล่าวจึงยอมปล่อยลูกชายของตนออกมา
เมื่อลูกชายของตนออกมาได้ ตนจึงทราบว่าลูกชายของตนถูกทำโทษด้วยการถูกตี สั่งให้แก้ผ้าเปลือยกาย อีกทั้งพอลูกของตนคิดจะแหกคุกหนี ก็ถูกสั่งให้อดข้าว รวมถึงล็อกแขนลูก และมัดลูก พร้อมกับรุมกระทืบ ทั้งนี้ ตนไม่เคยเข้าไปในจุดที่กักขัง และเข้าไปได้แค่บริเวณศาลาวัด เพราะผู้คุมที่ใส่เสื้อสีส้ม คุมพื้นที่ไว้หมด หลังจากที่ลูกชายของตนออกมาได้ก็ยังรู้สึกหวาดผวา สาเหตุที่ออกมาพูด เพราะตนรู้สึกสงสารทุกคนที่อยู่ข้างใน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนรู้สึกเสียใจมาก เพราะสถานที่บำบัดเป็นวัดอย่างดี แต่ทำไมถึงทำกับคนอื่นแบบนี้ ทั้งนี้ ตนอยากจะฝากถึงคนที่พาลูกไปบำบัดที่วัดแห่งนี้ในจังหวัดกาญจนบุรี ขอให้ไปนำลูกออกมา