กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์เรื่องราวลงไปในกลุ่ม “พลเมืองในนครหัวหินครับ” ซึ่งเป็นภาพของบ้านที่ได้รับความเสียหาย และก้อนหิน พร้อมกับระบุว่า “#พิกัดบ่อฝ้าย ซอยตรงข้ามชุมชน ขออนุญาติพื้นที่ตรงนี้ ช่วยเป็นกระบอกเสียง ตอนนี้ยังหามือปาหินไม่ได้ แจ้งตร.ก็แล้ว ติดกล้องก็แล้ว ออกไล่ล่าก็แล้ว บ้านหนูมีทั้งคนแก่ 80 กว่าเดินไม่ได้ กับเด็กเพิ่งคลอด และลูกหลานอีกหลายคน มันก็ยังทำได้ มึงมันเข้าขั้นจิตวิปริต หลังคาบ้านยายหนูลูกหินเป็น 100 ค่ะ ติดกล้องฝั่งนี้มันก็เปลี่ยนฝั่งมายิง ด่ามันมันก็ยิงสวน ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใคร ใครด่ามันมันยิงบ้านนั้น แล้วจะให้พุ่งเป้าไปไหน ช่วยบอกหน่อยค่ะคุณเจ้าหน้าที่ หนูคงต้องออกสื่อเพราะโดนมาเกือบ 3 อาทิตย์แล้ว ยิงตั้งแต่ตี 4 ตี 5 บางวันตลอดทั้งวัน บางวันยิงยันเที่ยงคืนถึงตี 1 กว่าจะนอนตี 1 ตี 2 ยังไม่ทันไรตี 4 มันยิงอีกแล้ว"
ล่าสุดวันที่ 20 ก.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางลงพื้นที่ไปยังซอยบ่อฝ้าย ซึ่งเป็นย่านชุมชนในเขตเทศบาล โดยพบว่ามีกลุ่มชาวบ้านมารวมตัวกันที่ร้านกลางแจ้ง ส่วนใหญ่เป็นเครือญาติด้วยกันทั้งหมด นามสกุล “ระหัสดี” สังเกตว่าส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้หญิงที่มีลูกเด็กเล็กแดง และยังมีคนแก่สูงอายุอีกหลายครัวเรือน โดยทั้งหมดเป็นผู้เสียหาย ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของกลุ่มคนปริศนาที่ใช้หนังสติ๊กยิงก้อนหินใส่หลังคาบ้าน และยังมีการขว้างปาก้อนหินก้อนใหญ่ใส่หลังคาแตกได้รับความเสียหาย
จากการลงพื้นที่ของทีมข่าว ยังพบว่ามีบ้านเรือนกว่า 7 หลังได้รับความเสียหาย โดยมีหลังคาแตกเป็นรูโบ๋ และหลังคาแตกเป็นแนวยาวใช้การไม่ได้ ต้องนำบันไดมากลางทิ้งเอาไว้ เพื่อที่จะขึ้นเปลี่ยนหลังคาแทบจะทุกวัน เพราะมีการก่อเหตุเป็นประจำ ตั้งแต่เวลา 04.00-24.00 น. โดยจะมีการขว้างปา และยิงหนังสติ๊กขึ้นใส่หลังคาชาวบ้านทุกต้นชั่วโมง แต่จะมีช่วงพักแค่เวลา 12.00-14.00 น. จากนั้นก็จะยิงทั้งกลางวันกลางคืน จนทำให้ชาวบ้าน 7 หลังคาตัดสินใจซื้อกล้องวงจรปิดมาติดตั้งโดยมีการติดตั้งทั้งหมด 3 หลังคาเรือน จำนวน 3 จุด แม้จะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด แต่ก็ไม่เห็นตัวของคนก่อเหตุปาก้อนหิน ได้ยินแต่เสียงก้อนหินตกหล่นบนหลังคา และเสียงแตกของกระเบื้องหลังคา
นอกจากนี้ ในช่วงกลางคืน ชาวบ้าน 7 หลังคา จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังคา และดูทิศทางของการยิง และขว้างปาก้อนหิน โดยมีการใช้ไฟฉายส่งไปมา เพราะส่วนใหญ่การก่อเหตุจะเป็นช่วงเวลาเดิม ๆ และเป็นช่วงเวลาประจำ ๆ แม้ว่าจะขึ้นไปนั่งบนหลังคาและใช้กล้องมือถือถ่ายภาพเอาไว้ ตัวของคนก่อเหตุก็ยังไม่มีความเกรงกลัว กลับยิงและขว้างปาก้อนหินใส่หลังคา ทั้งที่มีคนนั่งถ่ายคลิปอยู่บนหลังคา
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เจอกับ 2 แม่ลูก คือ น.ส.สาวิตรี ระหัสดี อายุ 30 ปี และนางเครือวัลย์ ระหัสดี ผู้เป็นแม่ พาทีมข่าวเดินทางไปที่หลังบ้าน เพื่อสำรวจความเสียหาย พบว่ามีกระเบื้องหลายแผ่นแตก และเปลี่ยนกระเบื้องไปแล้วไม่ต่ำกว่า 10 แผ่น หมดเงินไปมากกว่า 1,000 บาท อีกทั้งยังต้องไปขอกล้องวงจรปิดจากบ้านน้องชาย ซึ่งไม่ได้อยู่อาศัย เพื่อนำมาติดตั้งชั่วคราวที่หลังบ้าน
โดยลักษณะของการขว้างปาก้อนหินและยิงหนังสติ๊ก จะเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวของตนเจอเป็นประจำ โดยเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 04.00 น. จากนั้นก็จะมีการยิงหรือขว้างปาทุกต้นชั่วโมง และจะมีการหยุดยิงหรือขว้างปาในช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน โดยคนในบ้านจะคุ้นชิน และเจอกับเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำทุกวัน แต่วันนี้ยอมรับว่าหลังจากที่มีตำรวจและนักข่าวเข้ามา ยังไม่มีการขว้างปาหรือยิงหนังสติ๊กเหมือนเช่นทุกวัน
สำหรับบ้านของตน ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับความเสียหายอะไรมาก เพราะเป็นบ้านหลังท้าย ๆ แต่เพิ่งจะมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ต่อเนื่องก็ 5 วันแล้ว ทำให้คนในบ้านที่มีเด็กรวมถึงคนแก่ต้องหวาดผวา กลัวเรื่องก้อนหินขนาดใหญ่จะตกลงมาใส่ศีรษะ เพราะถ้าเป็นก้อนใหญ่ที่มีน้ำหนัก จะทำให้กระเบื้องแตก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทุกวันนี้ทุกคนจะต้องทนฟังเสียงหินและการขว้างปาสิ่งของใส่หลังคา แต่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเหตุผลอะไรที่คนก่อเหตุต้องทำแบบนี้กับบ้านทั้ง 7 หลัง โดยเบื้องต้นก็มีบ้านต้องสงสัยอยู่ในความคิดของตนแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าปรักปรำว่าจะใช่หรือไม่ เพราะต้องรอให้ตำรวจดำเนินการตรวจพิสูจน์ความจริงก่อน แต่ถ้าหากเป็นบ้านหลังดังกล่าวจริง ตนเชื่อว่าชนวนเหตุอาจเกิดจากปมในอดีตเกี่ยวกับที่ดินมรดกของรุ่นปู่ย่าตายาย และรุ่นลูกหลานเข้ามาอยู่อาศัยปัจจุบัน จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกันหรือไม่
ส่วนอีกสาเหตุเป็นเพราะว่าช่วงโควิด-19 ระบาด ปกติเด็กของบ้านหลังต้องสงสัย จะมาเล่นกับเด็กกลุ่มบ้าน 7 หลัง แต่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เด็กเล่นด้วยกัน เพราะกลัวว่าจะมีการแพร่เชื้อโควิด-19 จึงทำให้พ่อแม่เด็กเกิดความไม่พอใจหรือไม่
หรืออีกประเด็นเป็นเพราะว่าพ่อของบ้านต้องสงสัย ที่เพิ่งเสียชีวิตได้ประมาณ 1 เดือน ชอบไหว้วานให้เด็กในบ้าน 7 หลัง ออกไปซื้อนมหรือน้ำแดง เพื่อมาทานในบ้าน แต่ตัวของลูกชายไม่พอใจที่พ่อมายุ่งเกี่ยวหรือสุงสิงกับเด็ก 7 หลัง และหลังจากที่พ่อเสียชีวิตแล้วจึงเกิดความไม่พอใจ ก็อาจจะเป็นไปได้อีกประเด็นหนึ่ง