กรณีแฟนเพจเฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว2 ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอที่บันทึกได้จากโทรศัพท์มือถือ ปรากฏภาพหนุ่มใหญ่มีอาการคล้ายคนเมา ขับรถกระบะ ทะเบียน 1 ฒค7744 กทม. เข้ามาจอดรถที่หน้าร้านส้มตำแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.มหาชัย อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร แล้วก็ถือโทรศัพท์มือถือลงมายืนหน้ารถ ไม่สวมหน้ากากอนามัย พร้อมแสดงพฤติกรรมกร่าง อ้างว่าเป็นตำรวจอยู่ในพื้นที่ จ.พิษณุโลก
หลังจากนั้น มีลูกค้าร้านส้มตำขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอด หนุ่มใหญ่รายนี้ก็เดินปรี่เข้าไปชี้หน้าและจับคอเสื้อไว้แน่น พร้อมยื่นโทรศัพท์ตัวเองให้ลูกค้าดูอะไรบาง ซึ่งพอลูกค้าดูเสร็จ ก็พยายามที่จะเอียงตัวไปอีกทาง เพื่อให้หนุ่มใหญ่ปล่อยมือออกจากคอเสื้อ แต่หนุ่มใหญ่รายนี้ก็ไม่ปล่อย กลับกระชากคอเสื้อลูกค้าเข้าหาตัวเองอย่างแรง จนทำให้ลูกค้าเซ แล้วรถจักรยานยนต์ล้มลงไป
ก่อนที่หนุ่มใหญ่จะเข้าทำร้ายร่างกายลูกค้ารายนี้ ด้วยการใช้เท้าขวาถีบเข้าไปที่ท้อง 1 ครั้ง และใช้โทรศัพท์ซึ่งอยู่ในมือซ้ายทุบเข้าไปที่หน้า 1 ครั้ง แล้วพยายามจะทุบซ้ำที่บริเวณศีรษะอีก 1 ครั้ง โดยที่ลูกค้ารายนี้ไม่มีการตอบโต้ใด ๆ เพียงแค่ป้องกันตัวด้วยการเอามือมาบังหน้าไว้ แต่หนุ่มใหญ่คนนี้ก็ยังคงกระชากคอเสื้อไม่ยอมปล่อย
กระทั่ง นายโบว์ลิ่ง เพื่อนของตำรวจรายนี้ เดินเข้ามาบอกให้หยุดและกันตัวลูกค้าออกจากหนุ่มใหญ่ โดยตอนที่ลูกค้าเดินออกมานั้น ก็ยังคงงงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นหนุ่มใหญ่รายนี้ก็ทำท่าเหมือนหยิบขวดสเปรย์บางอย่างออกมาจากกระเป๋าคาดอก แล้วฉีดใส่คน นายโบว์ลิ่ง ที่เข้าไปห้าม
จากนั้น นายสุทธา จะเข้าไปห้ามเพื่อจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น หนุ่มใหญ่รายนี้ก็หยิบมีดพับสั้นขนาดประมาณ 3 นิ้วในกระเป๋าใบเดิม แล้วเดินปรี่เข้ามามาจ่อหน้า เพราะเห็นว่าชาวบ้านกำลังถือโทรศัพท์ ทำท่าถ่ายคลิปเอาไว้ ชาวบ้านรายนี้พยายามป้องกันตัวด้วยการเดินไปหยิบขวดแก้วน้ำอัดลมมาถือไว้ในมือ เมื่อหนุ่มใหญ่เห็นเช่นนี้ ก็พูดว่า “กูมีปืน” จึงหันหลังกลับเดินไปที่รถ แล้วหยิบปืนยาว ไม่ทราบชนิดและขนาด ออกมาข่มขู่ เหมือนจะกราดยิง แต่ยังไม่ทันได้ยิง คนในพื้นที่ช่วยกันห้ามตามที่ปรากฏในคลิปไว้ก่อน
ล่าสุดวันที่ 22 ก.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปยังพื้นที่เกิดเหตุ พบเป็นร้านขายของชำริมถนน เลขที่ 170 หมู่ 3 ต.มหาชัย อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร ผู้ก่อเหตุทิ้งหมวกปากเป็ดสีดำไว้ที่โต๊ะหน้าร้าน 1 ใบ ทีมข่าวได้พบกับ น.ส.ชลธิชา เนยคำ อายุ 29 ปี เจ้าของร้านค้าและผู้เห็นเหตุการณ์
น.ส.ชลธิชา เปิดเผยว่า ส่วนตัวไม่ได้รู้จักกับผู้ก่อเหตุ แต่ว่าประมาณ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ เห็นว่าเขาขับรถคันเดียวกับที่ใช้ก่อเหตุมาจอดไว้ที่หน้าบ้านตนทุกวัน ตั้งแต่เวลาประมาณ 09.00 น. แล้วเดินไปบ้านตรงข้ามที่ยังสร้างไม่เสร็จ บ้านของ “นายโบว์ลิ่ง” อายุ 42 ปี โดยไม่สนใจเลยว่าเอารถมาจอดหน้าบ้านใคร ไม่มีการเข้ามาถามไถ่หรือมาขออนุญาตตนและคนแถวนี้สักคำ ส่วนตัวก็พยายามสอบถามชาวบ้าน จึงทราบว่าเป็นตำรวจอยู่ใน จ.พิษณุโลก ก็เลยไม่กล้าเอ่ยปากคุยด้วย
แล้วช่วงประมาณ 16.00 น. ก็จะเดินกลับออกมาขับรถออกไป ก่อนที่จะวนกลับมาอีกทีในช่วงประมาณ 18.00 น. แต่รอบเย็นส่วนใหญ่จะเอารถไปจอดบ้านนายโบว์ลิ่ง แล้วก็ออกมาเอารถขับออกไปประมาณช่วง 22.00 น. แต่ตนไม่รู้ว่าเขาขับไปไหน เป็นแบบนี้ทุก ๆ วัน กระทั่งวันที่ 21 ก.ย.64 เวลาประมาณ 09.00 น. ผู้ก่อเหตุนำรถมาจอดที่หน้าร้านตนเหมือนทุกวัน แล้วเดินไปบ้านนายโบว์ลิ่ง ไม่เห็นว่าถืออะไปบ้าง และอยู่ในบ้านตรงนั้นประมาณ 7 ชั่วโมง
ต่อมาประมาณ 16.00 น. ซึ่งขณะนั้นตนกำลังขายของตามปกติ มีลูกค้าประมาณ 4-5 คน และรถของเขาก็จอดอยู่หน้าบ้าน ทำให้นายสุทธา เนยคำ อายุ 57 ปี เห็นว่ารถจอดขวางทางลูกค้า จึงตะโกนไปบอกนายโบว์ลิ่ง ที่อยู่กับผู้ก่อเหตุในบ้านตรงข้ามว่า “บอกให้เขา มาขยับรถหน่อย ลูกค้าเข้าออกไม่ได้” แต่นายโบว์ลิ่ง ก็เฉย ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา กระทั่งเวลา 17.30 น. ผู้ก่อเหตุเดินปรี่ออกมาจากบ้านนายโบว์ลิ่ง แล้วขึ้นสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์พร้อมสวมหมวกกันน็อกของลูกค้าร้านทำผมที่จอดอยู่หน้าร้าน และทำท่าเหมือนจะขี่ออกไปที่ถนนหน้าตาเฉย ชาวบ้านจึงตะโกนห้าม เขาก็เลยจอดรถ
ระหว่างนั้นก็มีลูกค้าขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามา ทราบชื่อว่า นายวิษณุ ภู่อ่อน อายุ 20 ปี แล้วก็เกิดการทำร้ายร่างกายกันตามคลิปที่ได้อธิบายไปข้างต้น ก่อนที่จะมีการใช้อาวุธมีด ปืนข่มขู่ ซึ่งตนยืนยันว่าปืนที่ผู้ก่อเหตุถือนั้นเป็นปืนจริงแน่นอน แต่ก็ต้องรอตรวจสอบอีกทีว่าเป็นปืนชนิดไหน หลังเกิดเหตุชุลมุน นายโบว์ลิ่ง ก็พยายามเข้ามาดึงผู้ก่อเหตุ แล้วพาขึ้นรถ ใช้เวลาก่อเหตุอยู่ประมาณ 3-4 นาที จากนั้นผู้ก่อเหตุก็นั่งอยู่บนรถประมาณ 10-15 นาที ก่อนที่จะถอยหลังไปส่งนายโบว์ลิ่ง ที่บ้านตรงข้าม แล้วก็ขับรถกระบะออกไปทันที
ส่วนตัวมองว่าพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุเหมือนกับคนเมาเหล้า ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดเหตุ ทำให้ตนกลายเป็นคนหวาดระแวง ไม่กล้าออกจากบ้านในช่วงค่ำ เพราะว่านายโบว์ลิ่ง ยังคงอยู่ในบ้านตรงข้าม แล้วมีพฤติกรรมนิ่ง ๆ เดินมาสั่งก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ค่อยพูด ตนก็เลยต้องพยายามพกมีดไว้ข้าง ๆ ตัวตลอดเวลา เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ป้องกันตัวเอง เนื่องจากเห็นว่าช่วงที่ผ่านมา เขากับผู้ก่อเหตุอยู่ด้วยกันเสมอ
นายสุทธา เนยคำ อายุ 57 ปี ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ กล่าวว่า ตนไม่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้ก่อเหตุ แต่เห็นว่าเขาจะนำรถกระบะมาจอดหน้าบ้านตน 2-3 วันแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปที่บ้านของนายโบว์ลิ่ง แต่ตนไม่ได้สนใจว่าเข้าไปทำอะไร รู้แค่ว่านายโบว์ลิ่ง ออกมาซื้อเหล้าบ่อย ๆ ประกอบกับผู้ก่อเหตุ จอดรถในลักษณะขวางทางลูกค้า ในวันที่เกิดเหตุตนก็มองว่าจะต้องเลื่อนรถ เพราะลูกค้าที่เข้ามาซื้อส้มตำ ไม่สามารถนำรถเข้ามาจอดได้ จึงเดินไปตะโกนบอกว่า “รถมันจอดขวาง ช่วยเลื่อนไปใต้ต้นไม้หน่อย เพราะคนมาซื้อข้าวซื้อของจอดไม่ได้” กระทั่งเกิดเหตุตามที่น.ส.ชลธิชา เล่าให้ฟัง
หากถามตนว่าทำไมถึงกล้าเข้าไป ทั้ง ๆ ที่ผู้ก่อเหตุมีอาวุธ เพราะตนเห็นว่าน้องเสื้อเหลืองถูกทำร้าย ก็เลยมองว่าจะต้องเข้าไปช่วย โดยการเดินไปหยิบขวดแก้วมาเพื่อป้องกันตัว เพราะรู้สึกว่าขวดก็ใหญ่กว่ามีดพับที่ผู้ก่อเหตุถืออยู่ในมือ แต่เมื่อเห็นว่าผู้ก่อเหตุเดินกลับเข้าไปหยิบปืนออกมา ตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่ แทนที่จะหนีกลับวิ่งเข้าสู่ สงสัยสัญชาติบอกให้สู้ ตั้งใจไว้ว่าหากเข้าไปประชิดตัวได้ก็จะจับปืนแล้วเบี่ยงไปทางอื่น เพราะเท่าที่เห็นน่าจะเป็น เอ็ม 16 ซึ่งปกติก่อนจะยิง ปืนพวกนี้จะต้องมีจังหวะกระชากลำ คิดว่าจะใช้จังหวะนั้นแย่งปืน
"ผมคิดว่ายังไงตัวเองก็ดวงดีมากพอ ยังไงก็ไม่ตาย ไม่มีความกลัวอยู่ในสมองเลย บวกกับตั้งแต่เด็กจนโต ผ่านร้อนผ่านหนาวเรื่องต่อยตีกับคนอื่นมาเยอะพอสมควร ส่วนตัวคิดว่าผู้ก่อเหตุน่าจะโกรธเคืองที่ผมไปตะโกนบอกให้เลื่อนรถ การที่เขาเข้ามาทำร้ายแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจมาก ๆ แล้วยิ่งมารู้ว่าเขาเป็นตำรวจ พฤติกรรมแบบนี้ไม่เหมาะมากที่จะปฏิบัติต่อประชาชน มีอย่างที่ไหนวันทั้งวันไม่ปฎิบัติงาน มาอยู่บ้านคนอื่นตั้งแต่เช้ายันค่ำ และที่สำคัญคือการใช้ปืนข่มขู่ มันถือว่าเลวมาก ๆ ผมมองว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเล่นยาหนัก ไม่น่าจะเมาเหล้าปกติ หลังเกิดเหตุผมจึงตัดสินใจไปลงบันทึกประจำวัน แจ้งข้อหาผู้ก่อเหตุในข้อหาข่มขู่ให้ผู้อื่นตกใจกลัว และอยากให้เข้ามามอบตัว เพราะผมยังไงก็ไม่ยอมความเด็ดขาด ไม่อยากให้ไปทำแบบนี้กับคนอื่นซ้ำอีก" นายสุทธา กล่าวทิ้งท้าย
นายวิษณุ ภู่อ่อน หรือ น็อต อายุ 20 ปี หนุ่มเสื้อเหลืองที่โดนกระชากคอเสื้อ เปิดเผยว่า ขณะนั้นตนขี่รถมอเตอร์ไซค์มาซื้อส้มตำ เป็นรถของแม่ ทันทีที่จอดรถ ผู้ก่อเหตุก็ดึงคอเสื้อตนอย่างแรง ก่อนที่จะเข้ามาทำร้ายร่างกายด้วยการต่อยหน้า 1 ครั้ง ถีบท้อง 1 ครั้ง และใช้มีดพับสั้นจี้คอด้านหลังตามที่ปรากฏในคลิปดังกล่าว
เมื่อถามว่าช่วงหนึ่งที่ผู้ก่อเหตุพยายามให้ดูรูปในโทรศัพท์เป็นข้อมูลอะไร นายวิษณุ บอกว่า เท่าที่เห็นก็เหมือนจะเป็นภาพเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ เป็นภาพหมู่ ซึ่งเขาพยายามถามตนว่า “สายไหน ๆ กูเป็นตำรวจนะ” แต่ไม่แน่ใจว่าในรูปเป็นตำรวจหรือทหาร เพราะตอนนั้นกำลังงง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ตนยอมรับว่าตอนแรกที่ถูกดึงคอเสื้อ คิดว่าหยอกล้อเล่นกัน แต่มันรุนแรงมากกว่าจะล้อเล่น ก็เลยเริ่มคิดว่าไม่ใช่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตนไม่เคยรู้จักกับผู้ก่อเหตุ จึงได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในข้อหาถูกทำร้ายร่างกายไปเรียบร้อยแล้ว และอยากให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุจนถึงที่สุด เพราะหลังเกิดเหตุก็ไม่มีใครติดต่อมาขอโทษ และมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มาจากอาการเมาแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเมาเหล้าหรืออะไร ยิ่งเป็นตำรวจด้วยก็ยิ่งต้องตามตัวให้เร็วที่สุด ส่วนรถก็เสียหายเล็กน้อย ตรงนี้ไม่ได้แจ้งข้อหาเพิ่ม
เมื่อทีมข่าวพยายามที่จะเข้าไปสอบถามกับนายโบว์ลิ่ง อายุ 42 ปี ซึ่งอยู่ในบ้านตรงข้ามกับที่เกิดเหตุ โดยลักษณะเป็นบ้านปูนชั้นเดียวที่ยังสร้างไม่เสร็จ ทีมข่าวพยายามเรียกหานายโบว์ลิ่ง ประมาณ 2-3 นาที เจ้าตัวก็เดินออกมาบอกว่า “กลับไปก่อน กำลังเคลียร์เรื่องโควิด-19” ด้วยน้ำเสียงตะคอก แล้วก็เดินเข้าไปในห้องภายในบ้าน และไม่ออกมาอีกเลย ขณะที่พ่อของนายโบว์ลิ่ง ให้ข้อมูลเพียงว่า ครอบครับเคยบอกให้ลูกชายเลิกคบกับตำรวจคนนี้แล้ว เพราะไม่อยากให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกัน แต่ลูกชายก็บอกว่า “ไม่เป็นไร”
พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และมีคำสั่งของภ.จว.พิษณุโลกที่ 293/64 ลงวันที่ 22 ก.ย.64 สั่งการให้พ.ต.ท.ยสพนต์ พวงทอง สารวัตรหัวหน้าสภ.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก มาช่วยราชการปฏิบัติหน้าที่ยัง ศปก.ตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการและตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยมอบหมายให้พ.ต.อ.ธนารักษ์ ปาระมีสา รอง ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก เป็นประธานคณะกรรมการในการสืบสวนและให้รายงานผลให้ทราบภายใน 7 วัน เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างชัดเจน
ส่วนอาวุธปืนที่ปรากฏนั้น ทราบว่าเป็นชนิดอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมกาลิล จึงยึดมาเก็บเอาไว้ที่ภ.จว.พิษณุโลกเรียบร้อยแล้ว และรายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบตามลำดับชั้น โดยหลังจากนี้จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนพ.ต.ท.ยสพนต์ วันนี้ได้เดินทางมารายงานตัวกับผู้บังคับบัญชาเรียบร้อยแล้ว