“ต้อม รัชนีกร” แถลงข่าวพร้อม “เชอร์เบท กันต์กนิษฐ์ โอฬาฬาร” ที่ปรึกษาทางกฎหมาย ลั่นฟ้องสถาบันเสริมความงามและแพทย์ผู้ผ่าตัดศัลยกรรม 50 ล้านบาท 19 สิงหาคมนี้ นัดแรกเจอกันที่ศาลจ.นนทบุรี
โดยวันนี้ 1 มิ.ย. 2567 “ต้อม รัชนีกร” เผยถึงสถาบันเสริมความงามชื่อดังที่มีประเด็นเรื่องสัญญารีวิวไม่ตรงกัน และการศัลยกรรมผิดพลาดจนหน้าพังตลอดชีวิตว่า
“มันมีการตกลงค่ะ แต่ว่าการตกลงของเขา เขาไม่ได้ทำตามอย่างที่เขาตกลงและเขาก็ละเมิดจากเราตั้งแต่เริ่มแรกที่เขาเอาภาพไปลงแล้ว”
“ได้มีการพูดคุยกันไว้ก่อนที่เราจะออกจากโรงพยาบาลเลยว่าเรื่องการส่งข่าวใดๆ รอให้พี่ต้อมสวยก่อน แล้วเราค่อยทำเรื่อง ทำกระแส หลังจากนั้นมีวันเกิดของเราที่จะเห็นว่าไปหน้าคล้าย แอนนา ทีวีพูล ก็เริ่มเป็นกระแสหลายและก่อนหน้านี้เขาก็เคยออกมาพูดเหมือนกันว่าต้อมใช้ชีวิตลำบากมากไม่งั้นจะให้ผ่าหน้าเหรอ ต้องมีการติดสติกเกอร์ เราก็เลยมีความรู้สึกว่าถ้าปล่อยพูดไปจะมีการพูดไปเยอะแยะมากมายก่ายกอง”
“นอกจากภาพที่คุณทำหลุดตั้งแต่เริ่มแรก ที่เราได้มีการคุยกันไว้เอาไว้เรียบร้อยแล้วว่า หลังจากนี้ไปเราต้องตามสัญญานะ จะต้องคุยกันทั้งสองฝ่ายก่อนแล้วค่อยนำเสนอ แต่พอดีมีภาพวันเกิด แม่ก็ยอมให้ถ่ายเพราะแม่คิดว่าคลิปวันเกิดเขาคงจะเอาไปใช้รวมตอนที่เราสวยแล้ว แต่ไม่ หลังจากวันเกิดเขาลงคลิปเลย”
“การลงคลิปครั้งนี้เป็นคลิปที่เขาไม่ได้ขออนุญาตเรา ตามที่เขาได้พูดเอาไว้ก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาล ทำให้เกิดกระแสมากมายว่าหน้าเหมือนคนนู้นคนนี้ หลังจากนั้นรายการคุยแซ่บshow ก็เอาแม่ไปออกรายการ แล้วเขาก็ไปโพสต์คลิป ว่าไปพูดให้เขาเสียหาย ซึ่งแม่ไม่เคยว่า แม่ก็ไม่เข้าใจว่าไปพูดให้เขาเสียหายตรงไหน”
“เขาไปออกคลิปประมาณว่า เกี่ยวกับเรื่องศัลยกรรมว่าไปทำมาเยอะแยะมากมาย แล้วก็ไปหาเขา เพื่อมาให้เขาแก้ให้ แม่ไม่เข้าใจว่า ใช้ประโยคนี้ ใช้ได้ยังไง คือเบี่ยงเบนทุกอย่างเลย”
“พอแม่ไปออกรายการเสร็จแล้วเขาก็โทรมาคุยส่วนตัว แต่ไม่ได้คุยกับแม่ เขามีปัญหากับแม่ต้องคุยกับแม่ใช่ไหมคะ แต่เขาไม่คุย เขาโทรไปหาแฟนว่า พี่ไม่เคยรู้เลยค่ะว่าน้องต้อมมีงาน เป็นงานสกินที่ถูกยกเลิกไป ซึ่งจะบอกไม่รู้ก็ไม่ได้ เพราะเราบอกว่า มีการแต่งภาพ ฝ้ากระก็มาแบบนี้แล้วอย่างนี้คืองานของหนูเสีย แต่เขาไปออกสื่อว่าไม่รู้ แล้วไปคุยกับแฟนพี่ แล้วก็มาขอโทษ”
การเจรจากันไม่ลงตัว ?
“มันไม่ใช่แค่การเจรจาไม่ลงตัว การเจรจาไม่ลงตัวมันเริ่มตั้งแต่แรกมากกว่า แต่พออยู่มาสักพักเราถึงรู้ว่า มันเกิดความพิการหลังจากนี้ด้วย มันไม่ใช่แค่นี้แต่มันเกิดตั้งแต่ระยะเวลาเดือนธันวาคมไปจนถึงปัจจุบันนี้ เราไม่เคยออกสื่อ เราไม่เคยไปใดๆ ทั้งสิ้น ไปดูได้แม่ไม่เคยลงว่า แต่ ณ ตอนนี้เราอยู่นิ่งไม่ได้ เพราะความพิการเกิดขึ้น ความบกพร่องเกิดขึ้น การงานมีปัญหาเกิดขึ้น คุณไปบอกกับทุกคนว่าไม่เห็นเขาเป็นอะไร ไม่เห็นมีอะไร ความสวยก็ประจักษ์อยู่แล้ว คือถ้าไม่สวยทุกคนต้องเข้าใจนะว่าเรามีงานเราก็ต้องออกงาน เราจะออกไปในหน้าพิการ หน้าสดๆ ให้คนเขาเห็นเหรอคะ เราก็คงยังต้องทำธุรกิจอยู่ คือจะพูดในเวลาแบบนี้มันไม่ใช่”
ด้าน ทนายเชอร์เบท เผยว่า “สัญญาข้อสุดท้าย ข้อ 16 เขียนไว้ว่า สามารถนำรูปภาพมาใช้สำหรับขึ้นป้ายโฆษณาบิลบอร์ดตลอดระยะเวลาสัญญา 2 ปี ซึ่งก่อนจะดีลในสัญญา ได้มีการตกลงชัดเจนว่าก่อนจะเอารูปอะไรของพี่ต้อมไปลงจะต้องปรึกษาและขออนุญาตพี่ต้อมก่อน ไม่ใช่ว่าตกลงกันแล้วจะเอารูปอะไรไปรีวิวก็ได้นะคะ”
ขณะที่ ต้อม เล่าต่อว่า “แต่ว่าประเด็นตอนนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบิลบอร์ด แต่ที่เขาออกสื่อไปตลอด ก็สัญญารีวิวนี่คะมันก็ต้องรีวิว แต่การทำงานของคนที่เป็นพรีเซ็นเตอร์เป็นปกติอยู่แล้วที่เราจะต้องรีวิวให้เขา เราก็ต้องขึ้นบิลบอร์ดอยู่แล้ว 2 ปีครึ่ง รีวิวเราต้องทำให้อยู่แล้ว ไลฟ์สดก็ต้องทำ และออกอีเวนต์เราก็ต้องออก หรือตามรายการใดๆ ก็ตามที่เขาไปซือ้เวลาไว้ นั่นคือสัญญา แต่พอเวลาออกมาพูดมันคือแค่รีวิว ทำให้ประชาชนเข้าใจว่า เรารับจ้างรีวิว”
จะมีการฉีกสัญญาไหม ?
“มันก็คงต้องฉีกไหมคะ เพราะเขาละเมิดเราตั้งแต่แรก แต่เราก็ไม่คิดจะมีปัญหากับเขาด้วยซ้ำ เราก็รอว่าเมื่อไหร่เขาจะมาคุยกับเรา แต่กลับกลายเป็นเขาไม่ได้คุยอะไรเลย วันที่ 4 ม.ค. จะต้องมีการเช็กอัพกับคุณหมอ หลังจากที่เราทำหน้าเสร็จแล้ว”
“ณ ตอนนั้น เราก็มีความรู้สึกว่าการคุยยังไม่ลงตัว ในการที่เขาเอาภาพไปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเราตามข้อตกลง เราก็เขียนจดหมายไปฉบับหนึ่ง แต่พี่เขาก็ออกข่าวตลอดเลยว่า จดหมายการบรรเทาพี่ปิ่นก็ไม่ทราบเลยค่ะ บรรเทาอะไร ก็คือขอบรรเทาเรื่องรูปตกแต่งบิดเบือนจากความจริง”
“ก็เลยมีความรู้สึกว่าพี่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะมาคุยกับเราจริงๆ มีแค่โทรมาคุยกับแฟนเราแค่ครั้งเดียว จริงๆ ถ้ามีปัญหากับเราโทรคุยกับเราก็ได้ คือไม่ได้มีประเด็นอะไรไปมากกว่านั้นเลยตอนแรก ก็แค่รูปที่เขาทำให้เราเสียหายจากการเราเสียงานไป แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเจรจา”
ถ้ามีการเจรจาอาจจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ ?
“ใช่”
มีการโทรมาหลายครั้ง?
“ครั้งเดียว คือวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งไม่ได้คุยกับเราด้วยคุยกับแฟนเรา”
จะมีการฟ้องคดีอะไรบ้าง ?
“อย่างแรกในส่วนความผิดพลาดในการศัลยกรรม แล้วฟ้องเป็นคดีละเมิด แผนกคดีผู้บริโภคเป็นจำนวนทุนทรัพย์ 50 ล้านบาท โดยจะฟ้องโรงพยาบาลและคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดให้รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น
และเรื่องรูปตอนที่พี่ต้อมอยู่ในห้องผ่าตัด จะมาอ้างสัญญารีวิวไม่ได้นะคะ พ.ร.บ. สถานพยาบาล กำหนดไว้ว่า การที่คลินิกศัลยกรรมจะเอารูปไปโฆษณา หรือหากำไรให้ตนเอง ต้องมีการขออนุญาตจากสบส. ก่อนนะคะต้องเป็นไปตามมาตรฐานของเขา อยากจะทราบว่าโรงพยาบาลนี้ได้เป็นไปตามขั้นตอนถูกต้องหรือยังคะ”
ด้าน ทนายเชอร์เบท เผยว่า “ตอนนี้เดินหน้าคดีละเมิด 50 ล้านแล้วค่ะ ในส่วนการเอารูปขณะพี่ต้อมผ่าตัดมาเผยแพร่ กำลังดำเนินการตามไป”
คู่กรณีออกมาบอกว่ามีตังค์จ่าย 50 ล้านแต่ถ้าฟ้องกลับกลัวคุณต้อมอาจจะไม่มีเงินจ่าย ได้เห็นหรือยัง ?
“ได้เห็นค่ะ พี่ก็ไม่รู้จะพูดว่ายังไงนะคะ พี่อาจจะไม่มีเงิน แต่พี่มีเกียรติ พี่มีศักดิ์ศรี และที่สำคัญพี่มีความจริง ที่พูดกี่ครั้งก็ยังไม่ตาย ความจริงที่คุณกระทำให้มันเกิดปัญหากับชีวิตพี่ ถ้ามีการเจรจากันด้วยดีก็คงไม่มีวันนี้ หลายๆ อย่าง หลายๆ คลิป ที่คุณพูดจริง 10 หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจในตัวพี่ผิด พี่อยากจะถามคนทั่วไปว่า คนมีเงินเท่านั้นเหรอที่จะชนะ ไม่ใช่ ความยุติธรรมมันต้องมี”
ภาพที่ได้รับผลกระทบ ?
“ภาพที่รับไม่ได้ คือภาพที่ต่อท่อออกซิเจนอยู่ (ร้องไห้) ”
ด้าน ทนายเชอร์เบท กล่าวเสริมว่า “ภาพนี้ผิดกฎหมายหลายตัวเลย นอกจากจะผิด pdpa ผิดกฎหมายอาญา-แพ่ง. พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ และละเมิดสิทธิผู้ป่วย”
หลักฐานทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ?
“เราก็มีตามที่เรามี และตามความเจ็บปวด ตามแผลทางร่างกายที่ทุกคนอาจจะไม่ได้เห็น ซึ่งตรงนี้ พี่คิดว่าพี่มีหลักฐานให้ศาลได้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง การใช้ชีวิตลำบากอย่างไรบ้างก็อยากให้ทุกคนได้รู้”
“ก่อนหน้านี้พี่ไม่ได้มีปัญหาที่จะบอกว่ามันเกิดอะไร พอหลังจากทำไปเรียบร้อยแล้วเราเห็นว่าฟันเราเหยิน พี่ก็ไปหาหมอ พอไปหาหมอมันชัดเจนขึ้นว่า อันนี้มันอันตราย คุณมีฟันกราม ฟันคุดอยู่ข้างในนอนอยู่ทำไมเขาไม่ให้คุณถอนฟันคุดซีกนั้นก่อน เพราะในอนาคตอาจเกิดมะเร็ง เป็นถุงน้ำ แล้วกรามที่ตัดออกมามันเหลืออยู่น้อยมาก อยู่ในจุดอันตรายมาก ถ้าเข้าฉากตบแล้วโดนตบพลาด กรามพี่หัก ถ้าอนาคตข้างหน้าฟันซีกนี้เป็นมะเร็ง หรือเป็นถุงน้ำแล้วต้องเอาออก ถ้าได้หมอไม่เก่งกรามอาจจะร้าวหรือแตกได้ นี่คือหมอบอกมา”
“เมื่อไม่กี่วันผ่านมานี้ ก็มีคลิปมาอีกแล้ว จะไม่ให้เรารู้สึกแย่กับชีวิตได้อย่างไร เป็นคลิปที่ออกมานั่งคุยว่า "อาหารคนก็มีนี่คะ" ประโยคนี้หมายความว่ายังไงเหรอคะ ตอนนี้ข้าวเหนียวกินไม่ได้ ของที่พี่ชอบกินไม่ได้ ต้มแซ่บ กระดูกอ่อนพี่กินไม่ได้ พี่กินอะไรที่คนเขากิน พี่ไม่ได้แทะกระดูกหมาค่ะ เขาพูดสนุกปากของเขา คุณเห็นความเจ็บป่วยของคนอื่นอยู่ในความสุขของคุณหรืออย่างไร มันคือความสนุกใช่ไหมคะ (ร้องไห้)”
“อยากจะบอกว่า กรุณาฟังทั้งสองฝ่าย และถ้าอยากจะรู้ความจริงเป็นอย่างไร กรุณาย้อนกลับไปดูที่ต้นตอได้ไหม อย่าไปตามสมัยนี้ที่ทุกอย่างต้องรวดเร็ว แล้วไปตัดเหลือแค่นิดเดียวเพื่อไปทำคอนเทนต์ เพื่อทำกระแสให้ทุกคนมีเรตติ้ง หรือมีคนตามมากขึ้น แต่ความทุกข์มันอยู่ที่คนคนเดียวและครอบครัวของคนๆ นี้ ซึ่งสนุกในการพูด”
“พี่ปรึกษาคุณหมอ พี่รู้แล้วว่าการเคี้ยวข้าวของพี่มันจะไม่กลับมาเป็นปกติอีกตลอดชีวิต แต่ความพิการ ที่พี่บอกว่าทำไมทำงานไม่ได้ คือ ออกจอแค่นี้ หรือไปรายการตั้งกล้องแค่ 3 กล้อง คุณสามารถปิดไว้ได้นะคะความพิการของคุณ (ชี้ไปที่กรามทั้งสองข้าง) แต่ละครและหนังมันคือจอใหญ่ เล่น 180 องศาต้องเห็นหมด ถ้าคุณหันข้างไปแล้วหน้าไม่สมมาตร ด้านข้างพิการ คุณทำงานได้ไหมก่อน จะบอกว่าความสวย มันสวยด้านหน้าค่ะ สวยที่พี่ตกแต่ง แต่หน้าผิดรูป ไม่สมประกอบ ไปออกรายการต้องทำผมปิดไว้”
“เราปรึกษาคุณหมอหลายคุณหมอ แต่คุณหมอท่านนี้เชี่ยวชาญด้านกราม ฟันและกะโหลก ท่านตอบกลับมาว่า ต้องดูความเป็นไปได้ว่าเสริมกลับมาได้ไหม วัสดุที่ใช้เสริมจะมีความยืดกับกรามได้เหมือนเดิมหรือเปล่า หมายความว่าความพิการเกิดขึ้นถูกไหม เสริมกลับมาก็ไม่รู้ว่าจะปกติไหม เขาออกคลิปว่า หน้าก็ไม่เห็นมีอะไรเลย ก็สวยแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เหี่ยว ก็ห้อย ก็ย้อย ที่เหี่ยวห้อยย้อยเพราะคุณไปตกแต่งภาพ เราไปถ่ายละครเป็นภาพเคลื่อนไหว มันยืดกรามไม่ได้”
Advertisement