เป็นคนที่ได้ลองทำหลายอย่างตามความฝัน แม้จะสำเร็จบ้าง ผิดหวังบ้าง แต่ก็เป็นความภูมิใจในชีวิตจากประสบการณ์ทุกเรื่องเสมอ สำหรับเรื่องราวของ "ข้าวโพด ณัฏฐา อินต๊ะซาว" ที่ตอนนี้มีหลายบทบาทให้เรียกเธอ ไม่ว่าจะในฐานะ คุณหมอ นางงาม รวมถึงนักร้อง
อมรินทร์ออนไลน์ สัมภาษณ์ข้าวโพดถึงชีวิตเบื้องหลังกว่าจะมาถึงวันนี้ เคยผิดพลาด ล้มเหลวในการเรียนหมอ แต่เพราะเห็นคุณพ่อคุณแม่เสียใจเลยฮึดสู้ใหม่อีกครั้งจนสำเร็จ เส้นทางนางงามที่ประสบการณ์เป็นศูนย์ แต่ก็พิสูจน์ตัวเองจนไปถึงเวทีนานาชาติ และล่าสุดกับการหวนกลับมาจับไมค์ร้องเพลง ภายใต้สังกัด MGI Beyond ที่กำลังไต่ระดับความฝันทำให้สำเร็จอยู่ในตอนนี้
ต้องบอกว่าเป็นคนใช้ชีวิตแบบทำทุกอย่างตามแพชชั่นค่ะ โชคดีที่บ้านค่อนข้างเปิด เพราะฉะนั้นเวลาที่หนูอยากทำอะไร คุณพ่อคุณแม่ก็จะสนับสนุนให้ได้ลอง แต่ก็จะต้องมีข้อตกลงกันว่าเรื่องเรียนต้องห้ามทิ้ง เมื่อไรก็ตามที่การเรียนเริ่มตก ต้องทิ้งอย่างอื่น ตอนเด็กหนูมีความฝันเดียวคืออยากเป็นหมอ เราเลยมุ่งโฟกัสไปที่การเตรียมตัวที่จะเป็นหมอ ชีวิตวัยเด็กก็จะเรียนค่อนข้างหนัก การแข่งขันค่อนข้างสูง แล้วเวลาสอบคะแนนก็แอบโหดนิดนึง ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เรียนพิเศษหนักมาก จันทร์-ศุกร์หลังเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษที่บ้านคุณครู เสาร์-อาทิตย์ เข้ากรุงเทพมาเรียน คลาสแรก 8 โมงเช้า แล้วก็ไปจบที่ 3 ทุ่ม แล้วก็กลับระยอง วันอาทิตย์ก็มาใหม่เวลาเดิม วันจันทร์ก็ตื่นไปเรียนที่โรงเรียนปกติ ชีวิตจะวนอยู่แบบนี้จนจบ ม.6 ก็เลยชินค่ะ มันกลายเป็นว่ารู้สึกว่านี่คือเรื่องปกติของเราที่เราจะต้องทำ เป็นแบบนี้มาตลอด จนเข้ามหาลัย
ท้อค่ะ (หัวเราะ) ยอมรับว่าท้อ เพราะตอนเด็กๆ ด้วยความที่อยู่ต่างจังหวัดมาโดยตลอด เราก็รู้สึกว่าเราก็เก่งประมาณนึง พอไปได้อยู่ แต่พอเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ มันยากกว่านั้น เข้าใจเลยว่าหัวหมากับหางเสือเป็นยังไง พอเราเข้ามาอยู่ตรงนี้มันเป็นความกดดันว่าเราตามเขาไม่ทัน มันก็เลยเริ่มเครียดค่ะตอนเรียนมหาลัย
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เรารู้สึกว่าชีวิตมันอิสระมากขึ้น ก็เริ่มทำตามฝันอื่นๆ ที่มีเช่น เริ่มอยากร้องเพลง เราคิดว่าเรารับมือกับสิ่งนี้ได้ แบ่งเวลาได้ แต่ในความเป็นจริงก็คือเราแบ่งไม่ได้ เราเอาเวลาไปทุ่มกับอีกฝันนึงจนลืมว่ามันยังมีเรื่องเรียนให้เราต้องโฟกัส บวกกับความกดดันต่างๆ ที่มี สุดท้ายก็ไปไม่รอด เกิดความผิดพลาดขึ้นครั้งใหญ่ คือตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย ที่บ้านคือร้องไห้กันหนักเลย
ตอนนั้นมันมีหลายๆ เหตุการณ์เกิดขึ้นในชีวิตด้วยค่ะ เป็นช่วงที่ไปประกวดร้องเพลงรายการหนึ่ง มีเรื่องของโซเชียลบูลลี่ด้วย ตอนนั้นสภาพจิตใจหนูไม่ดีอยู่แล้ว ไม่ได้เตรียมตัวที่จะรับมือกับคำพูดของคนมากขนาดนั้น คือเราตั้งใจไปประกวดร้องเพลง คอมเมนต์ถ้าเป็นเรื่องร้องเพลง หนูรับได้ แต่พอเป็นคอมเมนต์ที่เป็นเรื่องอื่นๆ เราก็ไม่ได้พร้อมที่จะรับมันในขณะนั้น ฉะนั้นสภาพจิตใจตอนนั้นแย่อยู่แล้ว ที่บ้านก็น่าจะเห็น พอมาเกิดเรื่องลาออก เขาก็เหมือนจะเข้าใจด้วยส่วนหนึ่งว่าเราน่าจะสภาพจิตใจไม่ได้มั่นคงมาก แต่คุณพ่อคุณแม่เขาก็พยายามไม่ทำให้เห็นว่าเสียใจ แต่ลึกๆ เราเห็นแหละ ว่าเขารู้สึก
พอมันเกิดเรื่อง คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจส่งให้ไปอยู่ที่นิวซีแลนด์ค่ะ ให้ลองไปอยู่เงียบๆ กับธรรมชาติ ปล่อยวางทุกอย่าง พออยู่นิ่งๆ ได้ประมาณครึ่งปี ก็เริ่มถามตัวเองว่าอะไรเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ สุดท้ายมันก็ตอบใจตัวเองได้ว่า ยังอยากกลับไปเรียนยังอยากเป็นหมออยู่ ก็เลยตัดสินใจติดต่อหาอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดิม อาจารย์ก็เลยแนะนำให้ไปเรียนต่อที่ประเทศจีน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าใบปริญญามันสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา เขาอยากเห็นลูกเรียนจบ ยุคนี้เราอาจจะมองว่าประสบการณ์สำคัญกว่า แต่สำหรับคุณพ่อคุณแม่ใบปริญญามันยังสำคัญที่สุด มันก็เลยเหมือนเป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจ ที่เห็นพ่อแม่เสียใจขนาดนั้น กลับมาครั้งนี้มันพลาดไม่ได้แล้ว ด้วยอายุเราที่เยอะขึ้น ถ้าจะทำให้จบมันต้องจบอย่างดีด้วย แล้วในที่สุดหนูก็ถึงฝั่งฝัน ตัวหนูเองต่างหากที่ดีใจที่สุด เพราะรู้สึกว่าอย่างน้อยเราได้ทำสิ่งนี้ให้พ่อแม่เราได้ยิ้มได้อีกครั้งแล้ว
ยอมรับว่าช่วงแรกที่มันพัง เพราะหนูไม่ได้แบ่งเวลาให้ดีเอง พอโอกาสที่สองที่เราได้แก้ตัว หนูทุ่มเทให้กับการเรียน 100 % ไม่เอาอย่างอื่นเลย เหมือนตอนนั้นมันโฟกัสแล้วว่าเราไม่อยากพลาด บวกกับตอนนั้นเป็นนักเรียนทุนด้วย ก็เลยรู้สึกว่ามันต้องทำทุกวันให้เต็มที่
หนูว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ คนได้ยินเวชศาสตร์ชะลอวัย อาจเข้าใจว่าเป็นเรื่องความสวยความงามหรือเปล่า แต่ว่าจริงๆ แล้วในศาสตร์นี้หลักๆ คือการดูแลสุขภาพในองค์รวม โดยที่พยายามจะใช้ยาให้ช้าที่สุด เพราะต้องยอมรับว่ายาก็ยังมีผลต่อร่างกายอยู่ด้วย ช่วยแต่ก็มีผลข้างเคียง เพราะฉะนั้นหน้าที่ของแพทย์ชะลอวัยคือการปรับไลฟ์สไตล์ปรับเรื่องอาหารการกินหรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะช่วยให้คนไข้ดึงระยะเวลานั้นให้ได้มากที่สุด
หนูอยากให้คนไข้มีชีวิตที่มีความสุขและยั่งยืนแบบคนที่สุขภาพดี เพราะฉะนั้นถ้าเราปูเอาไว้ตั้งแต่แรกมันก็จะช่วยได้ ถามว่ายาในยุคปัจจุบันน่าเชื่อถือไหม ยังน่าเชื่อถืออยู่นะ สำหรับหนูรู้สึกว่าเมื่อถึงเวลาก็ต้องใช้ แต่ว่าถ้าเป็นไปได้ใช้ยังไงให้เหมาะสม ให้บาลานซ์กับชีวิตของคนไข้ในชีวิตปกติประจำวัน ก็เลยสนใจศาสตร์นี้ จริงๆ มีแพลนอยู่ว่าอยากจะทำเป็น wellness ของตัวเอง ในเรื่องของการดูแลสุขภาพ รวมไปถึงกายภาพต่างๆ รวมไปถึงแพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีนต่างๆ ถ้าเราเอาทั้งหมดมาผสมผสานกันให้ลงตัว ก็น่าจะช่วยให้คนไข้หรือคนที่สนใจในเรื่องของการดูแลสุขภาพ ได้เข้าใจและดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น
บทบาทนางงาม : จากคนประสบการณ์เป็นศูนย์ สู่การได้มงครั้งแรกแบบไม่คาดคิด
หนูชอบดูและเป็นแฟนนางงามอยู่แล้ว ดูทุกๆ เวที แต่ในช่วงเวลาที่เราหายไปเรียนรอบที่สอง สิ่งหนึ่งที่อยู่หน้าไทม์ไลน์ตลอดเวลาคือมิสแกรนด์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกพื้นที่มีแต่แกรนด์จริงๆ แล้วสิ่งที่รู้สึกน่าสนใจก็คือมิสแกรนด์ทำให้เราเห็นนางงามเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราไม่ได้รู้สึกว่าเขาคือนางงามที่จับต้องไม่ได้อีกต่อไป เขาคือนางงามที่มีหัวเราะ ร้องไห้ มีโกรธ เป็นธรรมชาติ แล้วหนูอยากให้คนได้รู้จักหนูในมุมนั้นมากขึ้น เพราะอย่างที่บอกว่าก่อนหน้านี้เราถูกคนวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักเรา เลยอยากให้คนรู้จักหนูในมุมที่หนูเป็น แล้วถ้าถึงวันนั้นเขาจะรักหรือไม่รัก หนูรับได้แล้ว เพราะว่านี่คือตัวหนูที่แท้จริง ก็เลยตัดสินใจว่ากลับมาประกวดนางงาม
ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงมาก เพราะว่าเราไม่ได้มีความเป็นบิวตี้ควีนอยู่ในตัวเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่อยากส่งเป็นแมสเซจไปให้ทุกคนที่ได้ดูหนูอยู่ อยากให้เขาเข้าใจว่าการเป็นนางงามบางทีมันไม่ต้องเฟอร์เฟกต์ การเป็นนางงามมันแค่การที่หนูยอมรับในตัวตนของหนูเอง ยอมรับข้อเสียข้อดีทุกๆ อย่าง แล้วรักในสิ่งที่ตัวหนูเป็น อยากนำเสนอตัวตนของหนูออกมาในรูปแบบนี้ ในความภูมิใจในตัวเองแบบนี้ แค่นั้นก็เป็นนางงามที่สมบูรณ์แบบที่สุดในแบบของหนูแล้ว แล้วก็อยากให้คนที่เขาเห็นได้แรงบันดาลใจว่าไม่ว่าจะความฝันไหนของเขา ขอให้เขาลุกขึ้นมาทำ เขาก็เป็นผู้ชนะแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในลำดับที่เท่าไร มันก็คือชนะใจตัวเองแล้ว
ยากมากนะคะการประกวดนางงาม ทุกวันคือการปรับตัวจริงๆ หนูปรับจนวันสุดท้าย เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าอันนี้คือเทสต์นางงามหรือยัง คือเราดูมาเยอะก็จริงแต่ประสบการณ์ที่เราทำเองมันยังไม่มี มันยากมันเหนื่อยแต่มันสนุก เหมือนได้ชาเลนจ์ตัวเองในทุกๆ วัน
แม้ประสบการณ์จะเป็นศูนย์ แต่ในที่สุดข้าวโพดก็สามารถคว้ามงกุฎมิสแกรนด์มุกดาหาร 2024 มาครองได้สำเร็จ
ตอนแรกกังวลว่าใช่เราจริงหรอ มันจะดีหรือเปล่านะ แต่ว่ามันเป็นโอกาสหนึ่งที่ผู้ใหญ่ยื่นมาให้หนู หนูไม่อยากทำให้ทุกคนผิดหวังก็เลยคว้าโอกาสนั้นไว้แล้วไปทำให้เต็มที่ ไม่เคยคิดเลยค่ะ (หัวเราะ) เอาจริงๆ เวลามาประกวดมันก็ต้องตั้งเป้าแหละว่าเราก็อยากชนะเนอะ แต่อย่างที่บอกค่ะ หนูรู้ตัวว่าไม่ได้เป็นไทป์ของนางงามที่เป็นควีนขนาดนั้น เราก็ประมาณตัวเองแล้วว่าเราน่าจะอยู่ที่ประมาณไหน วันที่ถูกส่งไปก็ยังมีคำถามอยู่เลยว่า ใช่หนูจริงๆ หรอ ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเรา ยิ่งไปประกวดกับนานาชาติ ยิ่งคิดว่ามันไม่น่าใช่เรา แต่อย่างที่บอกค่ะทุกโอกาสที่เข้ามามันสำคัญ เวลาที่มีโอกาสเข้ามาเราไม่มีทางรู้เลยว่าโอกาสไหนจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุด
เพราะฉะนั้นหน้าที่หนูคือคว้าไว้แล้วทำทุกอย่างให้เต็มที่ แม้จะไม่รู้ว่าการแข่งขันมันจะเป็นอย่างไร แต่ว่าคนที่เขายื่นโอกาสให้เขาต้องภูมิใจ ต้องรู้สึกว่าวันนี้เขาตัดสินใจถูกแล้วที่เขาสนับสนุนเด็กคนนี้
เป็นนางงาม ทำให้รู้จักพัฒนาและรักตัวเอง
หนูว่าหนูโตขึ้นเยอะ หนึ่งเลยก่อนหน้าที่จะมาประกวดมิสแกรนด์ หนูเป็นคนไม่พูดเลย ชอบอยู่เงียบๆ ตลอดเวลาที่เก็บตัวก็ยังคุยไม่ค่อยเก่ง แต่ก็ค่อยๆ พัฒนาสกิล อย่างที่ทราบกันมิสแกรนด์ต้องไลฟ์บ่อยๆ ต้องขายของ ต้องคุยกับคน มันก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นในส่วนนี้ จนตอนนี้พูดไม่หยุดเลย (หัวเราะ) อันนี้ก็เป็นสกิลแรกที่เราได้เพิ่มมา สองคือบุคลิกภาพ ต่อให้เราเป็นควีนหรือไม่เป็นควีน สิ่งที่เราต้องมีคือบุคลิกภาพ เพราะว่ามันคือภาพที่คนมองเห็น ตอนประกวดในไทยเราก็เรพพรีเซนต์จังหวัด ตอนประกวดในต่างประเทศเราก็เรพพรีเซนต์ประเทศเรา เพราะฉะนั้นเราอยากให้คนเห็นเราในแบบที่ถึงจะตัวเล็กแค่ไหนแต่เราสง่างามได้
สามมันคือ Self Love หรือการรักตัวเอง การประกวดนางงามสอนให้หนูรักตัวเองมากขึ้น หนูภูมิใจในตัวเองกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่หนูทำได้ในแต่ละวัน ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องเล็กมากเลยสำหรับคนอื่น อย่างเช่นวันนี้หนูกรีดไลน์เนอร์เท่ากัน หนูภูมิใจมากนะ หนูจะอวดทุกคนในไลฟ์เลยว่า ทุกคนไลน์เนอร์หนูเท่ากัน หนูรู้สึกว่ามันเป็นการเติมพลังบวกให้กับตัวเอง แล้วเมื่อเรามีสิ่งนี้มากพอ เรารักตัวเองมากพอ เรามีพลังบวกมากพอ เราสามารถส่งต่อให้กับคนที่ดูเราอยู่ด้วยได้ การที่เราได้ส่งความรู้สึกนี้ให้กับคนอื่น มันก็เป็นความภูมิใจเล็กๆ ของหนูในแต่ละวัน
โอ้...ไม่เลยค่ะ (หัวเราะ) หนูว่าเขาเชื่อในตัวหนู เชื่อในทุกอย่างที่หนูทำ แต่เขาคงไม่คิดว่าหนูจะกล้าขนาดลุกมาประกวดนางงาม แล้วจะเอาจริงเอาจังไปจนสุดทางขนาดนี้ แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ประกวดอะไร คุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย น้องชายหนูอยู่ตรงนั้นเสมอ ถึงเขาจะไม่เก็ตเลยก็ตามว่าการประกวดนางงามคืออะไร แต่เขาขอแค่เขาได้อยู่ตรงนั้น แล้วได้เห็นหนูมีความสุขกับโมเมนต์นั้น เขามีความสุขกับเรา
สิ่งหนึ่งที่ไม่คิดว่าจะได้รับ ก็คือ "ความรักจากแฟนคลับ" หนูมีแฟนคลับเยอะขึ้น มีคนคอยสนับสนุนทุกครั้งเวลาไปงาน ไม่ว่าจะเป็นงานร้องเพลงหรือโชว์ตัวเล็กๆ น้อยๆ เขาจะพร้อมใจไปอยู่ตรงนั้นเพื่อเรา ให้เห็นว่าเขาอยู่ตรงนี้นะ มาเพื่อหนูนะ มันเป็นสิ่งที่หนูไม่คิดว่าหนูจะได้รับ อย่างที่บอกว่าเหมือนเราเจ็บมาค่อนข้างมากจนเราลืมไปแล้วว่าเราเคยรักตัวเรายังไง ความภูมิใจในตัวเองมันหายไปหมดแล้ว จนวันที่เขาเข้ามาเป็นแสงเล็กๆ ให้หนูแล้วมันค่อยๆ สว่างขึ้น หนูว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่หนูไม่เคยคาดหวังว่าจะได้แต่ก็ได้มันมา คือหนูรู้สึกว่าหนูไม่มีอะไรให้รัก แต่วันนี้หนูมีคนตรงนี้ที่เขารักหนู หนูก็อยากรักเขาให้เต็มที่เหมือนกัน
สองคือ "โอกาส" หนูได้โอกาสที่ใหญ่หลายครั้งตั้งแต่หนูอยู่มิสแกรนด์มา หนูรู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่หนูได้รับเสมอ แล้วก็รู้สึกว่าหนูอยากทำทุกวันให้มันเต็มที่ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่ออยากให้คนที่เขาคอยซัพพอร์ตที่เขาเอ็นดูเรา ได้ภูมิใจ
ด้วยความที่หนูเป็นคนพูดน้อย มันเลยไม่ค่อยได้อธิบายความรู้สึกออกมาให้คนได้รู้สักเท่าไร การร้องเพลงก็เลยเหมือนเป็นช่องทางที่หนูได้แสดงความรู้สึกออกมา แล้วก็ค้นพบว่าการร้องเพลงนี่แหละมันเป็นเพื่อนคู่คิดของทุกคนได้มากที่สุด เวลาใครเศร้าหรือสุข หนูก็อยากให้เพลงของหนูอยู่กับเขาตรงนั้น หนูรู้สึกว่ามันเป็นข้อความที่เราส่งหาทุกคนสื่อสารกับทุกคนได้ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนพูดไม่เก่งเลยก็ตาม
หนูกลับมาเริ่มจากประกวดแกรนด์ก่อนค่ะ เพราะว่าช่วงเวลาที่หนูหายไป ยังมีพี่ๆ แฟนคลับที่เขาอยู่กับหนูอยู่ถึงแม้ว่าหนูจะไม่ได้อัพเดตโซเชียลอะไรเลย ทุกครั้งที่บินกลับมาไทยเขาจะยังมาเจอ วันที่เรียนจบเขาก็ยังมาแสดงความยินดี หนูรู้สึกว่าหนูอยากกลับมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อวันนึงที่เขาไปบอกผู้คนว่าคนนี้คือน้องข้าวโพด ที่เขารัก หนูอยากให้เขาภูมิใจเขาเอาไปอวดคนได้ว่าเด็กคนนี้มันเก่งนะ แล้วแกรนด์คือที่ที่หนูเลือก พอลงแกรนด์ ตอนแรกก็ยังไม่กล้าร้องเพลงนะ ยังกลัวอยู่ว่าเรื่องเดิมจะกลับมา ก็เลยตอนแรกมุ่งไปนางงามก่อนเลย แต่ว่าสุดท้ายก็ยังมีที่จะต้องร้องเพลงในการประกวด ก็รวบรวมความกล้าแล้วร้องมันอีกครั้งหนึ่ง ร้องมาเรื่อยๆ จนวันที่รู้สึกว่าเราแกร่งพอก็รู้สึกอยากกลับมาทำเพลง
เรียกว่ามันเป็นความฝันที่ลืมไปแล้ว คือความต้องการลึกๆ ของเราที่เราก็ยังรักในดนตรีค่ะ แต่เราฝังมันไว้เพราะความกลัว พอมาวันนี้หนูก็รู้สึกว่าเหมือนหนูได้ขุดดินที่หนูฝังหลุมนี้ไว้ แล้วกลับมาเติมเต็มมันด้วยดนตรีจริงๆ อีกครั้งนึง เพราะฉะนั้นครั้งนี้ก็จะทำให้เต็มที่ที่สุดค่ะ
ความสำเร็จจากหลายบทบาทที่ได้ทำ
ถ้าถามถึงความสำเร็จที่สำเร็จแล้วก็น่าจะเป็นนางงามค่ะ ตอนนี้คนเข้าใจในแมสเซจที่หนูตั้งใจจะส่งแล้ว ว่าสุดท้ายแล้วหนูแค่อยากจะเป็นนางงามในแบบที่หนูเป็น อยากให้ทุกคนยอมรับในสิ่งที่หนูเป็น แล้วก็อยากเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนมีฝันต่อไปแล้วทำตามฝันของตัวเองต่อไป อันนี้เป็นพาร์ทที่หนูทำสำเร็จแล้ว ในพาร์ทที่เป็นหมอยังไม่ได้สำเร็จ ยังรู้สึกว่ามีอย่างอื่นที่อยากไปต่ออีกไกลมากๆ ยังอยากเรียนเพิ่มอยากทำอะไรเพิ่มอีกเยอะมากๆ หนูรู้สึกว่าการเรียนหมอ มันไม่มีวันสิ้นสุด เราต้องหาความรู้เพิ่มเพื่อที่จะดูแลคนไข้ของเรา ในพาร์ทนี้ก็จะยังคงสู้ต่อไปแล้วก็ตั้งใจทำมันต่อไปให้ดีที่สุด ส่วนพาร์ทที่เป็นนักร้องตอนนี้ก็เหมือนเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเองค่ะ ยังมีหนทางอีกยาวไกลเลยให้ทำ ก็จะตั้งใจทำต่อไปค่ะ แล้วก็พาร์ทอื่นๆ ก็ตามมาได้เลยค่ะ พร้อมแล้ว
ไม่ได้ตั้งเป้าไว้ว่าต้องไปถึงขีดไหน แต่ว่าทำทุกวันให้ดีที่สุดแล้วจะไม่เสียใจ ทุกวันนี้หนูก็ยังทำในทุกๆ พาร์ทให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะมีโอกาสทำอะไรก็จะใส่เต็มร้อยทุกอย่าง อย่างพาร์ทการเรียนตอนนี้ก็ยังทำอยู่ เรื่องงานเพลงก็ทุ่มเทเต็มที่ แล้วเดี๋ยวเร็วๆ นี้ ปีนี้ก็น่าจะมีซีรีส์ด้วย ก็จะทำให้เต็มที่อีกเช่นกัน เพราะไม่อยากย้อนกลับไปเสียใจว่าทำไมวันนั้นเราไม่ทำให้เต็มที่ค่ะ
Advertisement