"โดม จารุวัฒน์" เข็ดหนัก! ควันบุหรี่ไฟฟ้า ภัยเงียบที่ทำลายสุขภาพ
โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมานาน 12 ปี ไม่เพียงแค่ “โดม จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม” จะเป็นที่รู้จักในฐานะ “ศิลปิน” ที่มีคุณภาพคนหนึ่งในวงการบันเทิง ด้วยความโดดเด่นเรื่องการร้องเพลงแล้ว ปัจจุบันยังนั่งแท่นเป็นผู้บริหารค่ายเพลงที่มีศิลปินภายใต้สังกัดอีกด้วย โดยโดมย้ำทุกก้าวในวงการบันเทิง เลือกที่จะไม่ปฏิเสธงาน เพื่อให้ได้เรียนรู้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งถือเป็นข้อดีที่ในวันนี้ได้นำประสบการณ์ที่ผ่านมาปรับใช้ในการทำงานที่เติบโตมากขึ้น
คอนเทนต์แนะนำ
แม้จะเอาดีทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังโดยทำควบคู่กันอย่างลงตัว แต่ในเรื่องสุขภาพ โดมย้ำยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องใส่ใจและดูแลตัวเองมากกว่าเดิม ด้วยร่างกายหากเกิดการป่วยก็ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู การรักที่จะถนอมร่างกายตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญในตอนนี้ ทั้งในเรื่องการทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน รวมถึงการใช้ชีวิตในด้านต่าง ๆ ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าแม้จะดูแลตัวเอง พร้อมคอยระวังตัวดีมากแค่ไหน แต่หากต้องทำงานกับผู้คนมากมาย ก็ไม่อาจสามารถหลีกเลี่ยงกับสิ่งต่าง ๆ ที่เหนือการควบคุมได้ โดยเรื่องสำคัญที่ศิลปินกำลังเผชิญหน้าจนเป็นกระแสในสังคมอยู่หลายครั้ง คือ ควันบุหรี่ไฟฟ้า ที่กระทบกับการทำงานของศิลปินที่ต้องใช้เสียง ซึ่งโดมได้เห็นเพื่อนร่วมวงการออกมาเรียกร้องหลายครั้งถึงควันบุหรี่มือสองที่ส่งผลในขณะทำงาน
งานนี้โดมเผยว่า “สำหรับนักร้อง เครื่องดนตรีของเรา คือ ร่างกาย เพราะฉะนั้น ถ้ามันพัง แปลว่า ต้องซ่อม และถ้าซ่อม แปลว่า ทํางานไม่ได้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ บางคนไม่ได้ซ่อมแค่แป๊ปเดียวแล้วหาย อาจจะใช้เวลาซ่อมยาว เราเห็นจากการที่นักร้องหลาย ๆ คน ต้องยกเลิกงานเพราะว่าไปเล่นแล้วเจอบุหรี่มือสอง ในสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เพราะว่าเป็นสถานที่ที่ต้องไปทํางาน สำหรับนักร้องเมื่อสูดลมหายหายใจเพื่อจะร้องเพลง บางทีควันเข้าไปปุ๊บแล้วมันทําลาย ทำให้ร้องเพลงไม่ได้ ทํางานไม่ได้ ผมเลยรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่มันน่ากลัวมาก”
สำหรับประสบการณ์ตรงจากควันบุหรี่มือสองของบุหรี่ไฟฟ้าที่โดมเจอมากับตัว เมื่อต้องออกไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวัน โดยโดมบอกเพื่อสุขภาพของเรา ต้องกล้าที่จะพูดตรง ๆ พร้อมด้วยเหตุผลในการอธิบาย เพื่อให้ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าได้เข้าใจในสิ่งที่แสดงออก ซึ่งการยืนหยัดในการพูดตรงไป ตรงมานี้ ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะว่าโดมรักตัวเองและรักสุขภาพเท่านั้น ยังเป็นการส่งความรักอีกด้านถึงคนรอบข้างที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าที่อยากบอกด้วยเจตนาดีที่ห่วงใยในเรื่องของสุขภาพ
“เรื่องมลพิษที่เกิดจากคนสูบบุหรี่ เมื่อผมเจอก็เลือกที่จะพูดเลย แต่ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว จะเลือกพูดในมุมว่าขอความร่วมมือ อย่างการบอกคนรอบข้างที่สูบว่าบุหรี่ไฟฟ้าว่าอันตราย ทั้งต่อตัวคุณเองด้วยและอันตรายต่อคนรอบข้างด้วย ก็ยอมรับเคยมีเสียงสะท้อนกลับมาในมุมมองที่ต่างกัน เราก็จะไปหาข้อมูลหรือหลักวิชาการ เพื่อบอกเขาอีกครั้งพร้อมอธิบายให้ฟัง ซึ่งผมว่าพอเขาได้อ่านแล้ว ถ้าเขาเป็นคนที่เปิดใจหรือฟังในสิ่งที่เราบอก และเขาปรับเปลี่ยนได้ คนที่สูบจะเข้าใจว่าสิ่งนี้ทําให้คนอื่นอันตราย ผมว่าเขาอาจจะเลือกที่จะระวังมากขึ้นและไม่ใช่ระวังแค่กับตัวเรา เขาจะไประวังกับคนอื่น ๆ ด้วย เลยเลือกใช้วิธีพูดตรง ๆ ผมว่าเขาจะเข้าใจ ซึ่งถึงเราจะระวังตัวเต็มที่ในการดูแลตัวเอง เรื่องที่รู้ว่าอันตรายก็จะพยายามเลี่ยง แต่ว่าบางอย่างเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะดีลได้ เพราะมาจากคนรอบข้าง ก็เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นภัยเงียบ”
ไม่ใช่แค่ความรักในเรื่องสุขภาพจนกล้าลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองเท่านั้น แต่ในฐานะของการเป็นผู้บริหารค่ายเพลง โดมยังบอกอีกว่า ย้ำและเตือนทีมงาน รวมถึงศิลปินในสังกัดเสมอถึงเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นสิ่งผิดกฏหมายและมีผลกระทบกับผู้อื่น “ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนเป็นศิลปิน ต้องไปทํางานในสถานที่ที่ต่าง ๆ เราจะพยายามย้ำเรื่องบุหรี่ไฟฟ้ากับทีมงานและศิลปินมาก ๆ ว่าเป็นสิ่งที่เราไม่อนุญาต โดยคุยกันตั้งแต่ต้นกับทุกคนที่เข้ามาทํางานภายในการดูแลของเรา อย่างที่บอกว่าเราดูแลตัวเองกัน แต่ว่ากับคนอื่นที่ต้องไปเจอ บางทีก็อาจจะต้องไปรับมือกันอีกรูปแบบนึง”
ควันบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่แค่ทำลายสุขภาพผู้สูบ แต่ยังเป็นภัยกับคนรอบข้าง ซึ่งโดมที่เป็นคนรักและตระหนักถึงสุขภาพตัวเองที่มีค่า จึงกล้าพูด กล้าเตือนในสิ่งที่ได้รับผลกระทบ โดยสิ่งที่แสดงออกไปนั้น เพื่ออยากให้ผู้สูบบุหรี่ได้หันกลับมารักตัวเอง รวมถึงแคร์คนรอบข้างที่ต้องเจอกับบุหรี่มือสอง เมื่อการใช้ชีวิตในสังคมต้องอยู่ท่ามกลางส่วนรวม โอกาสดีในวันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรักนี้ จะเป็นการปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ ไม่ทำให้บุหรี่มือสองต้องเป็นภัยต่อผู้อื่น
“สําหรับผมควันบุหรี่มือสองจากบุหรี่ไฟฟ้า อาจจะโชคดีที่ในระยะสั้นผมไม่ได้มีอาการที่แสดงออกมา แต่ผมไม่รู้ว่าในอนาคต ระยะยาวเมื่อผ่านไป 5 - 10 ปี การได้รับควันบุหรี่มือสอง ปอดเราที่ได้รับสิ่งนี้มาเคยเจอสิ่งนี้มาแล้ว จะมีผลกระทบอย่างไร ทุกวันนี้เดินออกไปข้างนอกอากาศในการหายใจก็ลําบากแล้ว เราก็เหนื่อยแล้ว แต่ถ้ามีปัจจัยอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงอีก ผมว่าจะทําให้เราไม่สนุกกับการใช้ชีวิตเท่าไหร่ เราต้องคอยนั่งระวัง เชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่าสิทธิ์ในการดูแลร่างกายของเรา ก็ควรจะเป็นสิทธิ์ที่เราสามารถพูดได้ เป็นสิทธิ์ที่เราสามารถเรียกร้องได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นคิดว่า การเรียกร้องครั้งนี้เป็นการขอ อย่างที่บอกว่าไม่ใช่คนสูบบุหรี่จะเลิกทํากับเราอย่างเดียวในการพูดคุยในแต่ละครั้ง แต่อาจจะทําให้เขาคิดขึ้นมาได้ และระวังมากขึ้นกับคนอื่นด้วย”
Advertisement
