ก้าวไกล ย้ำ 9 ข้อต่อสู้คดียุบพรรค กางกฎหมายศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจ "พิธา" มั่นใจไม่ถูกยุบ เชื่อได้รับความเป็นธรรมเหมือน 14 ปีที่แล้ว
นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลง 9 ข้อต่อสู้ครั้งสุดท้าย ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล 7 สิงหาคม 2567 โดยร่ายยาวกว่า 1 ชั่วโมง
โดยนายชัยธวัช กล่าวถึงข้อต่อสู้ ข้อที่ 1. การพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลไม่มีอำนาจในการรับคำร้องไว้วินิจฉัย เนื่องจากมีเขตอำนาจเฉพาะ เท่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
การตีความเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญต้องตีความอย่างเคร่งครัด ในกรณีใดที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้ให้เป็นอำนาจ พิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญศาลย่อมไม่มีอำนาจ โดยรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 210 วรรค 1 บัญญัติไว้ว่า พิจารณาความชอบด้วยกฎหมายหรือเรื่องกฎหมาย พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับเรื่องอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภารัฐสภาคณะรัฐมนตรีหรือองค์กรอิสระ หน้าที่อำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความแตกต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ที่มีบทบัญญัติ ให้สามารถวินิจฉัยการยุบพรรค แม้ว่าพ.ร.ป.พรรคการเมืองปี 2560 จะให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคการเมือง เอกสารรัฐธรรมนูญธรรมวินิจฉัยที่ 5/2563 อนาคตใหม่ ไว้ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 ได้บัญญัติให้ศาลมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญที่ไปขยายอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญเกินไปกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงไม่สามารถนำคดียุบพรรคอนาคตใหม่มาเป็นบรรทัดฐานหรือเหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องด้วยพรรคเข้าไปไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
ข้อต่อสู้ข้อที่ 2. การยื่นคำร้องในคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การเสนอคดีของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้การยุบพรรคก้าวไกล ตามมาตรา 96 วรรค 1 วงเล็บ 1 และวงเล็บ 2 มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะเราไม่สามารถตีความได้ว่าการเสนอคำร้องตามมาตรา 92 แยกเป็นเอกเทศจากมาตรา 93 ได้ และหากพิจารณาจากเอกสารจากกกต. เดิมทีก่อนเสนอคำร้องยุบพรรค นายทะเบียนพรรคการเมือง และสำนักงานได้ดำเนินการตามมาตรา93 ประกอบมาตรา 92 อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานตามกฎหมาย ให้ขยายระยะเวลาการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเนื่องจากเห็นว่ามีพยานหลักฐานที่เห็นว่าต้องรวบรวมอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อให้การพิจารณาปรากฏข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ถูกต้อง สมบูรณ์ชัดเจนและเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งแสดงเห็นว่ากกต มุ่งหมายยื่นคำร้องอยู่เพราะก้าวไกลโดยไม่สนใจต่อกระบวนการขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ ละเลยไม่รอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นเกี่ยวกับคำร้องก่อนเสนอคดี
ข้อต่อสู้ข้อที่ 3.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 ไม่มีผลผูกพันในการพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ การเสนอคำร้องนี้ เป็นข้อหาที่แตกต่างจากข้อหาในคดีเดิม ในคดีที่ 3/2567 ที่สั่งพรรคก้าวไกลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อเลิกการกระทำ โดยเป็นข้อหาที่ต่างไปจากคดีเดิม แต่ กกต.กลับไม่แสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานใดๆ และไม่เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้รับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจงโต้แย้งในพยานหลักฐาน ซึ่งถือเป็นกระบวนการยุติธรรม คดีทุกประเภท
แม้ว่าชั้นการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลจะรับฟังคู่ความทุกฝ่ายแล้วก็ตาม แต่การรับฟังคู่ความทุกข์ฝ่ายของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นเหตุยกเว้น ที่จะทำให้การเสนอคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ไม่มีผลผูกพันคดีนี้ โดย กกต.อ้างว่าการเสนอคำร้องยุบพรรคก้าวไกล เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลที่ 3 /2567 โดยปราศจากข้อสงสัย มีผลผูกพันต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระและหน่วยงานของรัฐ แต่ก้าวไกล ยืนยันว่าหากพิจารณาหลักความเป็นที่สุดของคำพิพากษา ทั้งความเป็นที่สุดในมูลเหตุการฟ้องคดี และข้อเท็จจริงที่วินิจฉัย ย่อมประจักษ์ชัดว่าสารในคดีนี้ไม่อาจรับนำการรับฟังข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 มาผูกพันในการพิจารณาคดียุบพรรคนี้ได้ หากพิจารณาตามหลักความเป็นที่สุดของมูลเหตุในการฟ้องคดี โดยคดีแรกเป็นคดีที่วินิจฉัยตามบทบัญญัติมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจแก่ศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยว่าการกระทำใดเป็นการใช้สิทธิโดยเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองหรือไม่ แล้วกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผู้กระทำการนั้นยกเลิกการกระทำเสีย ซึ่งศาลก็สั่งให้นายพิธา และพรรคก้าวไกล ยกเลิกการกระทำ ในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมม์ การโฆษณาและการสื่อความหมายด้วยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และห้ามเสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการนิติบัญญัติโดยมิชอบอีก แต่ข้อกล่าวหาของ กกต.ว่าพรรคก้าวไกลทำการล้มล้างการปกครองหรือมีการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตาม พ.ร.ป.ประกอบพรรคการเมืองมาตรา 92 มีโทษถึงยุบพรรค จึงไม่สามารถให้เอาคำวินิจฉัยคดีก่อนหน้านี้มาผูกพันวินิจฉัยคดีนี้ได้ แต่ต้องมีความพิสูจน์ที่เข้มข้นกว่า นอกจากนี้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะต้องมีผลผูกพันคู่ความในคดีเป็นสำคัญ แต่ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 กกต.ไม่ได้เป็นคู่ความในคดี ตามคำวินิจฉัยดังกล่าว
ข้อต่อสู้ข้อที่ 4. นอกจากการเสนอนโยบายแก้ไขมาตรา 112 แล้วการกระทำอื่นๆตามคำร้องมีได้เป็นการกระทำของพรรคก้าวไกล เพราะการกระทำใดจะเป็นการกระทำของพรรคการเมืองได้ต้องเป็นการกระทำของพรรค โดยมติของคณะกรรมการบริหารพรรค หรือเป็นการกระทำที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดแจ้ง จะถือว่าการกระทำของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการกระทำของพรรคมิได้ ทั้ง กรณีที่ สส.ไปปรากฏตัวในที่ชุมนุม การไปประกันตัวให้กับจำเลยในคดีมาตรา 112 หรือตกเป็นจำเลยในคดีมาตรา 112 รวมไปถึงการแสดงความคิดเห็นของสมาชิกพรรคให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 เหล่านั้นล้วนไม่ใช่การกระทำของพรรค ข้อเท็จจริงตามเอกสารไม่สามารถเชื่อมโยงได้ว่าบุคคลต่างๆที่ได้กระทำการไปนั้น ทำไปโดยที่มีพรรคก้าวไกลเป็นผู้สั่งการหรือวงการแต่อย่างใด อีกทั้งความเห็นของเจ้าหน้าที่รัฐ ยังไม่ตรงกับข้อเท็จจริงจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า ที่ศาลไม่อาจรับฟังได้
ข้อต่อสู้ข้อที่ 5.การกระทำที่กกต.กล่าวหามิได้เป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครอง หรือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง โดยการที่ สส.เข้าชื่อแก้กฎหมายตามมาตรา 112 ว่าไม่ได้เป็นการใช้กำลังบังคับ หรือการกระทำใช้ความรุนแรงเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยหรือมิได้เป็นการใช้อำนาจเพื่อแก้ไข เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติ ตามรัฐธรรมนูญในการเสนอร่างกฎหมายให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณา ซึ่งเป็นการกระทำการผ่านกระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบ และยืนยันว่าชอบด้วยกฎหมาย ก่อนจะยกตัวอย่างว่าในสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีก็เคยมีการเสนอแก้ไขลดโทษในคดีมาตรา 112 และอีกกรณีคือนายอุดม รัฐอมฤต
ข้อต่อสู้ข้อที่ 6. ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรคก้าวไกล แม้ศาลรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่าพูดถูกร้องจะใช้สิทธิและเสรีภาพในการลบล้าง การปกครองก็สามารถยับยั้ง โดยจะต้องปรากฏพยานหลักฐานที่เป็นรูปประธรรมมีน้ำหนักเพียงพอที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่าล้มล้างการปกครองหรืออาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ โดยใกล้เคียงต่อผล ถึงขนาดจำเป็นต้องยุบพรรคนั้นเสีย การกระทำของพรรคก้าวไกลยังไม่รุนแรงในทางกฎหมายรวมไปถึงมีเหตุสมควรเพียงพออันจะเป็นการยุบพรรค เมื่อศาลสั่งให้พรรคยกเลิกการกระทำดังกล่าวตามคำสั่งที่ 3/67
ข้อต่อสู้ข้อที่ข้อ 7.แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบพรรค ก็ไม่มีอำนาจกำหนดระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด หากศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจยุบพรรคก้าวไกล แต่ไม่มีสิทธิตัดสิทธิการเลือกตั้ง ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูภญไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และต้องสมควรแก่เหตุ และการกำจัดสิทธิตามรัฐธรรมนูญจะกระทำได้ต่อเมื่ออาศัยอำนาจทึ่ออกโดยนิติบัญญัติเท่านั้น
ข้อต่อสู้ข้อที่ 8.การกำหนดระยะเวลาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคต้องพอสมควรแก่เหตุ หากศาลเห็นว่ายุบพรรคก้าวไกล ระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ต้องอยู่บนหลักความพอสมควรแก่เหตุ เมื่อพิจารณาจาก พ.ร.ป.พรรคการเมืองปี 2550 ในกรณีที่มีคำสั่งยุบพรรค กำหนดไว้ว่า 5 ปี ดังนั้น ครั้งนี้ ก็ไม่เกิน 5 ปี ไม่ใช่ 10 ปีตามที่ กกต.ร้องขอ
ข้อต่อสู้ข้อที่ข้อ 9.การเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ต้องเพิกถอนเฉพาะของกรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ซึ่งในคดีนี้หากพิจารณาข้อเท็จจริงจะพบว่าการกระทำของพรรคก้าวไกล ที่กกตยื่นคำร้องเป็นการกระทำของพรรค ในช่วงเวลาที่กรรมการบริหารพรรคก้าวไกลชุดที่ 1 และชุดที่ 2 ดำรงตำแหน่งอยู่เท่านั้น ดังนั้นหากศาลเห็นว่าผิด ต้องเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคในชุดที่ 1 และ 2 เท่านั้นไม่รวมกรรมการบริหารพรรคที่ดำรงตำแหน่งในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ปฏิเสธที่จะประเมินสถานการณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญล่วงหน้า เพราะไม่อยากก้าวล่วงอำนาจของศาล แต่มั่นใจในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของพรรคก้าวไกลและมั่นใจเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะไม่ถูกยุบ ได้รับความยุติธรรมเหมือนกับพรรคการเมืองหนึ่งที่เคยได้รับเมื่อ 14 ปีแล้ว รวมถึงมาตรฐานการพิจารณาจะเป็นไปตามหลักสากล ยิ่งจะมีการประชุมศาลรัฐธรรมนูญระดับเอเชียในประเทศไทย ก็ยิ่งทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น โดยไม่กังวลว่าศาลจะใช้เหตุผลทางการเมืองในการวินิจฉัยคดี แต่จะตัดสินตามตามความจริงและข้อกฎหมายเท่านั้น
ส่วนแนวทางหลังคำนิวิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีที่เป็นโทษกับพรรคก้าวไกลนั้น นายพิธา ยอมรับว่ามีคิดเอาไว้ แต่ยังไม่ถึงเวลา ตอนนี้โฟกัสในการใช้เวลาในการทำหน้าที่ ผู้แทนราษฎรอย่างเต็มที่ โดยในวันพุธตอนเช้าส่วนตัวมีคิวที่จะอภิปราย พ.ร.บ.ขนส่งสาธารณะ ซึ่งจะทำหน้าที่อย่างมีสมาธิ อย่างที่ประชาชน 14 ล้านเสียงได้เคยเลือกมา ไม่รู้สึกเสียสมาธิหรือเห็นว่าจะต้องทำอะไรเป็นพิเศษ
ไม่สามารถคาดเดาแทนประชาชนได้ แต่หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี หวังว่าการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างการชุมนุมของประชาชนสามารถทำได้โดยไม่มีความรุนแรง และพรรคก้าวไกลจะไม่มีส่วนร่วมกับสิ่งที่ทำให้เกิดความรุนแรง เพื่อประโยชน์ของพรรคก้าวไกลอย่างแน่นอน
ซึ่งกิจกรรมในวันที่ 7 สิงหาคมที่จะถึงนี้ มีการเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้ จนหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการปลุกมวลชนเหล่านั้น นายพิธา กล่าวว่าไม่ใช่การปลุกมวลชน แต่พรรคก้าวไกลเป็นสถาบันการเมืองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมาโดยตลอด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสมาชิกพรรค หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคตลอดจนภาษาของพรรค ก็มีสิทธิ์ในการร่วมรับฟังเขาไม่ได้ใช้ด้วยกันที่พรรค ส่วนตัวเองจะเข้าไปประชุมสภาเพื่อทำหน้าที่ในการอภิปราย พ.ร.บ.ขนส่งมวลชนก่อน
ส่วนกระแสข่าวว่าทางพรรคก้าวไกลมีการดีลพักสำรองไว้โดยล่าสุดคือพรรคถิ่นกาขาวนั้น นายพิธา กล่าวว่ายังไม่ได้คิดถึงตรงนั้นเพราะตอนนี้เขาโฟกัสกับการสู้คดียุบพรรค แต่เมื่อถึงเวลาคงจะมีการพูดคุยเรื่องนี้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่มีมติใดๆ และหากคำตัดสินไม่เป็นคุณ ส่วนตัวก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคใหม่แล้ว และพรรคการเมืองทั่วไปก็จะมีกฎเกณฑ์ในการเรียกประชุมพรรคและสส.เพื่อดำเนินการต่างๆตามขั้นตอน ซึ่งตนก็ไม่สามารถตอบแทนได้ แต่นายพิธา ยืนยันว่าสมาชิกพรรค ยังคงมีความเป็นปึกแผ่น ไม่ได้แตกอย่างที่เป็นกระแสข่าว ในกลุ่มแชตไลน์ยังคงมีการพูดคุย เรื่องกฎหมายในการเสนอวาระ และการตรวจสอบรัฐบาลเหมือนเดิมไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง.
Advertisement