ช่อ-พรรณิการ์ รอลุ้นคำตัดสินก้าวไกล ชี้ เหมือน “เดจาวู” กลับไป 4 ปีที่แล้วยุคอนาคตใหม่ มองอนาคตก้าวไกล หากโดนยุบพรรคจะเกิดใหม่ในร่างใหม่
ทีมข่าวอมรินทร์ออนไลน์ พูดคุยกับ ช่อ-พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า/อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตโฆษกและคณะกรรมการพรรคอนาคตใหม่ ถึงความรู้สึกก่อนวันที่ 7 สิงหาคมนี้ กับคดีชี้ชะตาพรรคก้าวไกล โดยเจ้าตัวตอบว่า คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า มันก็เดจาวูกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ โดยเจ้าตัวอธิบายว่า ส่วนตัวรู้สึกแค้น ซึ่งความแค้นนี้ มันเป็นความรู้สึกว่าเสียงของประชาชนไม่มีความหมายหรอ ครั้งที่แล้ว(พรรคอนาคตใหม่) คนก็เลือกหลายล้าน ครั้งนี้คนเลือกพรรคก้าวไกลก็มี 14-15 ล้านเสียง แต่เสียงเหล่านี้กลับไม่มีความหมายเลย กลับสามารถถูก 9 เสียงตัดสินได้ ถ้าพูดแบบนี้คนก็จะมองว่าถ้าไม่ทำผิดกฎหมายเขาก็คงไม่ยุบพรรคหรอก ตรงนี้คงอยากจะให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณดู อย่างครั้งที่แล้วเป็นเรื่องเงินกู้ ครั้งนี้เป็นเรื่องของการเสนอกฎหมายเท่ากับเป็นการล้มล้างการปกครอง ซึ่งส่วนตัวมองว่าถ้าใช้วิจารณญาณในการตัดสินด้วยใจที่เป็นธรรม ท่านก็จะทราบดีว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้สมควรให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่งถูกยุบหรือไม่ พร้อมทั้งระบุว่า พรรคก้าวไกลก็ได้พิสูจน์ว่าหนังม้วนเดิม ผู้กำกับคนเดิมจะจบไม่เหมือนเดิม เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันไม่สำเร็จ ณ วันนี้เดจาวูก็คือคุณก็รู้ว่ามันไม่สำเร็จ ณ วันนี้ ก้าวไกลก็เติบโตกลายเป็นพรรคที่ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนเป็นอันดับ 1 คุณก็อยากจะใช้ไม้เดิม ในทางหนึ่งมันก็แสดงความจนตรอกของผู้มีอำนาจคือเค้าไม่มีเครื่องมืออื่นๆอีกแล้วที่จะขัดขวางเจตจำนงของประชาชนที่ต้องการให้พรรคการเมืองแบบก้าวไกลเป็นรัฐบาล ในอีกทางหนึ่งเราก็รู้สึกว่าในแง่ของคนทำพรรคการเมืองมันเจ็บปวดเพราะมันเหมือนเสียงของประชาชนไม่มีความหมาย ประเทศนี้ประชาชนกลายเป็นช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญไป ความหมายคือประชาชนเป็น หญ้าแพรกหรือ เหตุใดประชาชนถึงไม่ใช่ช้าง ในเมื่อ เราบอกว่าประเทศนี้เป็นประเทศประชาธิปไตยเทียมอธิปไตยสูงสุดเป็นของประชาชน เราในฐานะนิติบัญญัติเป็นเพียงหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยที่เราใช้แทนประชาชนเท่านั้นเองแต่ณวันนี้มันเจ็บปวดตรงที่จะเดจาวูกันไปแบบนี้อีกกี่ครั้งประชาชนจะถูก เหยียบหัวไปอีกซักกี่ครั้งมันจะมีอีกซักกี่ครั้งที่เราปล่อยให้มีการอ้างอิงกฎหมายและใช้อำนาจที่มันเกินขอบเขตอำนาจของประชาชนเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เจ็บปวดและเราไม่อยากให้เกิดขึ้น
ถามตรงๆ ในมุมมองช่อ-พรรณิการ์ ก้าวไกลจะรอด หรือ ถูกยุบ เจ้าตัวตอบว่า ความรอดหรือไม่รอดของอนาคตใหม่หรือก้าวไกลก็ตาม ไม่เกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลใดทั้งสิ้น พรรคการเมืองพรรคหนึ่งจะอยู่รอดหรือจะตายอยู่ที่ความเชื่อใจที่ประชาชนมีต่อพวกเรา ตอนอนาคตใหม่ถูกตัดสินยุบพรรคไปถามว่ารอดหรือไม่เวลาได้พิสูจน์แล้ว “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน“ ว่ารอด และไม่ใช่แค่รอด แต่ว่าเติบโตได้รับความเชื่อถือไว้ใจจากประชาชนเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงเป็นอันดับ 1 ตนพูดได้เต็มปากว่ายังไงก้าวไกลก็รอดจะรอดในนามของก้าวไกลหรือจะถูกยุบแล้วจะต้องเดินหน้าต่อไปในชื่อใหม่ ในร่างใหม่ แต่ว่าโดยแก่นแท้จิตวิญาณคุณค่าอุดมการณ์ แล้วก็เป้าหมายยังคงเป็นเป้าหมายเดิมพรรคก้าวไกลจะยังคงรออยู่เสมอและจะยังคงรอดไปจนกว่าประชาชนจะหมดความเชื่อถือศรัทธาที่มีต่อพรรค
ส่วนประเด็นที่ก้าวไกลที่ดิ้นสู้คดียุบพรรค ตนเห็นว่า ก้าวไกลสู้ยิบตามากๆ ส่วนตัวมองว่าก่อนจะถึงวันออกคำวินิจฉัยควรจะให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่พรรคก้าวไกลต่อสู้ มันไม่ใช่ข้อแก้ต่างแก้ตัวของพรรคเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่ช่วยกันยืนยันว่าหลักนิติรัฐ นิติธรรมยังคงมีอยู่ในประเทศไทยแล้วการที่ก้าวไกลออกมาชี้แจงข้อกฎหมายอยู่ตลอดเวลาจริงๆแล้วถือว่าเป็นการสู้คดีที่แถลงบ่อยมาก รวมแล้วแถลง 4 ครั้ง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนและสื่อมวลชนควรพิจารณาเพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นกันไปเลยว่าข้อหาที่มีต่อพรรคก้าวไกล ไม่สมควรนำไปสู่การยุบพรรค จริงๆ ถ้าเป็นความผิดที่ร้ายแรงถึงขั้น บ่อนทำลายประชาธิปไตย ก็อาจจะมีโทษยุบพรรคได้ แต่สิ่งที่พรรคก้าวไกลทำนั้นเป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตยจริงหรือไม่ สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก สิ่งที่ก้าวไกลพยายามจะบอกก็คือการเสนอแก้ไขกฎหมาย เป็นความผิดฐานล้มล้างการปกครองได้อย่างไร ในเมื่อนี่คือกระบวนการตามกลไกรัฐสภาทุกอย่าง ซึ่งไม่ว่าคำตัดสินในวันที่ 7 สิงหาคม จะออกมาเป็นอย่างไรประชาชนจะได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างยุติธรรมและตามหลักนิติรัฐนิติธรรมหรือไม่ เพราะเป้าหมายปลายทางของเราไม่ใช่ว่าก้าวไกลควรจะถูกยุบหรือไม่ แต่ไม่ควรมีพรรคการเมืองใดในประเทศไทยถูกยุบโดยไม่เป็นธรรม หรือในฐานะ กลไกทางการเมืองที่จะกำจัดศัตรูคู่แข่งฝ่ายตรงข้ามซึ่งเกิดขึ้นมาหลายครั้งเกินไปแล้วในระบบการเมืองไทย ไล่ตั้งแต่การยุบพรรคไทยรักไทยยุบพรรคอนาคตใหม่ ยุบพรรคไทยรักษาชาติจนมาถึงล่าสุด การจะยุบหรือไม่ยุบพรรคก้าวไกล
ส่วนประเด็นที่ว่าการตัดสินยุบพรรคเพราะเหตุผลเดิม ทางช่อ-พรรณิการ์ มองว่าเรื่องนี้เป็นที่รู้กันชัดเจนว่า เวลาที่คุณไม่ต้องการให้พรรคการเมืองหนึ่งเติบโตจนกลายเป็นการท้าทายผู้มีอำนาจคุณก็ใช้วิธีการยุบพรรค ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ในวันนี้คงต้องพูดแล้วว่าการยุบพรรคมันไม่ได้ผล คุณก็ไปตั้งพรรคใหม่แต่ทำไมเขาถึงยังทำ เพราะเขาคิดว่าการตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค เด็ดหัวคนอย่างธนาธร ปิยบุตร พิธา ชัยธวัชไม่สามารถมีบทบาทในสภาได้ต่อไป จะเป็นการบั่นทอนอำนาจของฝ่ายที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่ยังมีคนอีกมากมายที่พร้อมจะเติบโตขึ้นมาแล้วก็เป็นคนที่เป็นตัวแทนของประชาชนตราบใดที่ประชาชนยังมีความหวังในการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตัวแทนของประชาชนสามารถเกิดขึ้นมาใหม่ได้เสมอหกต้องฝากไปที่ผู้มีอำนาจว่าเราเข้าใจว่าคุณจนตรอก และคุณไม่มีเครื่องมืออื่นอีกแล้ว แต่ว่าคุณต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวนะ ถ้าคุณไม่เรียนรู้ที่จะปรับตัวเราใช้กลไกแบบนี้ไปเรื่อยเรื่อยมันก็มีแต่จะทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสียหายและสุดท้ายคุณจะพังทั้งหมด สิ่งที่คุณทำทั้งหมดมันเป็นแค่การประวิงเวลาประวิงเวลา ที่แค่คุณไม่อยากเปลี่ยน คุณก็ตัด Agent of Change คือตัวแทนแห่งการเปลี่ยนแปลง ออกไป ซึ่งคนที่คุณตัดเค้าออกได้ เขาก็ยังอยู่ เพียงแต่ เขาไม่สามารถมีบทบาทในสภาได้ และคนที่เติบโตขึ้นมาอยู่ในสภาก็ทำหน้าที่แทนขึ้นมา สุดท้ายมันกลายเป็นดับเบิ้ลเอฟเฟคกลไกเท่าทวีคูณ ที่คุณมีทั้งขุมกำลังที่อยู่นอกสภาและในสภาที่จะเป็นตัวแทนแห่งความหวังและการเปลี่ยนแปลงของประชาชน แทนที่สิ่งที่ผู้มีอำนาจหวังจะประวิงเวลาของการเปลี่ยนแปลงมันกลายเป็นการเร่งเวลาเพราะยิ่งทำให้ประชาชนเห็นว่าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ไหว คือประเทศชาติมันย่ำแย่ เฮงซวย เกินกว่าคุณจะต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบทีละเล็กทีละน้อยค่อยเป็นค่อยไป ประชาชนตัดสินใจเลือกก้าวไกลเพราะ เห็นว่าไม่ไหวแล้วถึงก้าวไกลจะบริหารประเทศได้หรือไม่ไม่รู้แต่ให้ลองดูก่อนเพราะที่ผ่านมาไม่ไหวจริงๆ ดังนั้นการยุบพรรคมีแต่จะเร่งปฏิกิริยาเร่งความรู้สึกของประชาชนให้เห็นว่าอันนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ
หนึ่งในคำถามที่คอการเมืองมอง คิดอย่างไรกับคำว่ายิ่งยุบยิ่งโต ทางช่อ-พรรณิการ์ บอกอ๋อ…ไม่ใช่คำว่ายิ่งอยู่ยิ่งโตแน่นอน ส่วนตัวไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะไม่มีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าถ้าไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่ วันนี้อนาคตใหม่เข้าสู่การเลือกตั้ง 2566 อาจจะได้ 200 ที่นั่งไปแล้วก็ได้ เพราะ ไม่เสียเวลากับงานธุรการเช่นต้องไปหาสมาชิกใหม่ ตั้งสาขาใหม่ งานต้องไปทำให้ประชาชนรู้จักว่าพรรคอนาคตใหม่ยุบไปแล้วนะเปลี่ยนเป็นก้าวไกล ซึ่งถ้าหากยุบพรรคอีก ก็ต้องทำแบบเดิมอีก ซึ่งกระบวนการทั้งหมดใช้เวลา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เสียเวลาชีวิต ส่วนตัวมองว่าก้าวไกลเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ราว2-3ปี จะได้มาทำงานการเมืองที่สร้างผลงานจริงๆคือช่วงปีสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง 2566 ถ้าเกิดไม่มีการยุบพรรคอนาคตใหม่เผลอๆ อนาคตใหม่ได้ 200 ที่นั่งเพราะมีเวลา 4 เต็มในการสร้างผลงานและทำงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ประชาชนได้เห็นว่าพวกเขาเป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนจะฝากความหวังไว้ได้ ซึ่งตนเข้าใจความรู้สึกของประชาชนที่พูดคำว่า “ยิ่งยุบยิ่งโต” อาจจะพูดออกมาจากความคับแค้นใจ ว่าการยุบพรรคทำไม่สำเร็จหรอก เพราะจะยิ่งสนับสนุนพรรคต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนมุมมองจากพรรคการเมืองเอง หรือคนที่ทำงานหลังบ้านพรรคการเมือง อย่างตนซึ่งเชื่อมั่นมากว่า ถ้าหากว่าไม่มีการยุบพรรค แล้วปล่อยให้พักเติบโตไปตามครรลองของมัน ทำงานให้กับประชาชนพิสูจน์ตัวเองไปลงหลักปักฐานเป็นพรรคของมวลชนขยายเครือข่ายในพื้นที่ทั่วประเทศและผักจะกลายเป็นสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็งได้ก็ต้องให้เวลาพรรคทำงาน ไม่ใช่ 4 ปียุบที ทำแบบนี้สุดท้ายมันคือกระบวนการที่ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ซึ่งก็จะมีผลทำให้ไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็งได้เพราะตัวแทนของประชาชนอ่อนแอจะเข้าไปทำงานให้ต่อเนื่องได้อย่างไร
Advertisement