วันที่ 1 ธ.ค.67 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ว่าจากการพยากรณ์อากาศมีความชัดเจนว่าปริมาณน้ำฝนน่าจะเริ่มลดลงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
จึงเชื่อว่าสถานการณ์น่าจะเริ่มคลี่คลาย เพราะอุทกภัยภาคใต้นั้นแตกต่างจากภาคเหนือ เนื่องจากมีปริมาณน้ำฝนมากเพียงอย่างเดียว หากผลักดันน้ำลงสู่ทะเลได้ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ซึ่งจากการติดตามความคืบหน้าจากผู้ว่าราชการจังหวัดพบว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้น
ขณะที่การประเมินความเสียหาย ทั้งบ้านเรือนประชาชนและระบบสาธารณูปโภค ต้องรอให้น้ำลดลงก่อนถึงจะเข้าไปตรวจสอบได้ รวมทั้งเรื่องสุขภาพของประชาชน เพราะช่วงที่วิกฤตที่สุดก็คือหลังน้ำลด
ส่วนกรณีที่มีอาจารย์มหาวิทยาลัยถูกไฟดูดขณะเกิดเหตุน้ำท่วมนั้น นายอนุทิน กล่าวว่าที่ผ่านมาได้มีการกำชับกับการไฟฟ้าให้ดูแลพื้นที่ในส่วนที่น้ำเข้าท่วม ซึ่งได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนระมัดระวังการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในครัวเรือนและทางจังหวัดได้มีการจัดเตรียมศูนย์พักพิงชั่วคราว ซึ่งมีการอพยพประชาชนเข้ามาพักพิง
ได้กำชับให้ดูแลชาวบ้านอย่างมีมาตรฐาน ทั้งเรื่องอาหารการกินที่นอนหมอนมุ้ง ตลอดจนสุขอนามัยสะอาดได้มาตรฐาน ไม่เป็นแหล่งเพาะเชื้อ พร้อมทั้งมีการอนุมัติเงินใช้ทดลองฉุกเฉินเพิ่มอีก 50 ล้านบาท ในจังหวัดเสี่ยงภัย รวมเป็นจังหวัดละ 70 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เหมาะสมเชื่อว่าสามารถดูแลประชาชนได้
ส่วนเงินเยียวยานั้นกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) อยู่ระหว่างประสานกับจังหวัดที่ประสบภัย ซึ่งส่วนใหญ่ประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยทั้งจังหวัดอยู่แล้ว จะทำให้สามารถดำเนินการได้เร็วมากยิ่งขึ้น
เมื่อการสำรวจความเสียหายหากเข้าเกณฑ์ก็จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แล้วจะมีการโอนเงินเข้าสู่บัญชีผู้ประสบภัยโดยตรงแบบเดียวกับการเยียวยาอุทกภัยที่ภาคเหนือ พยายามจะเร่งเสนองบประมาณเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ได้ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการใช้งบกลางของนายกรัฐมนตรี จึงต้องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาข้อมูลก่อน
นายอนุทิน ยังระบุถึงหลักเกณฑ์เยียวยาว่าเป็นไปตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งปฏิบัติตามหลักเกณฑ์นี้มาตั้งแต่อุทกภัยในภาคเหนืออีสานกลางใต้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสั่งการว่าความเดือดร้อนขนาดนี้ไม่ประเมินความเสียหาย ควรใช้เกณฑ์สูงสุดครัวเรือนละ 9,000 บาท เนื่องจากน้ำนั้นมากกว่าปกติถึง 2 เท่า และไม่ได้มาตามฤดูกาล ซึ่งน่าจะต้องใช้หลักเกณฑ์นี้ไปจนถึงสิ้นปี ก่อนที่ปีหน้าจะต้องสู้กับปัญหาหมอกควันฝุ่น PM2.5 และปัญหาภัยแล้งอีก
Advertisement