สนธิญา ร้องกกต.สอบวงสัมมนา พท. ทักษิณใช้สิทธิอะไรขึ้นปาฐกถาฟาดพรรคร่วม
“สนธิญา” ร้องกกต.ตรวจสอบ 3 ประเด็นวงสัมมนาเพื่อไทย ถามทักษิณใช้สิทธิอะไรขึ้นปาฐกถา ฟาดพรรคร่วม-สส. ไม่สนโดนเช็กบิล ลั่นทำเพื่อชาติ
วันที่ 17 ธ.ค.67 นายสนธิญา สวัสดี เดินทางมายื่นหนังสือให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง พิจารณาและวินิจฉัยตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีงานประชุมสัมมนา พรรคเพื่อไทย ที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 13-14 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา
คอนเทนต์แนะนำ
จากการสัมมนาดังกล่าวนั้นมีอยู่ 3 ประเด็นหลักที่นำมาสู่การยื่นหนังสือโดย ประเด็นที่ 1 กรณีการที่พรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ไปจัดสัมมนานั้น ได้ใช้งบประมาณของคณะรัฐบาลการเลือกตั้งใช่หรือไม่ และใช้งบประมาณเท่าไหร่ พร้อมทั้งระบุว่า การจัดงานสัมมนา กรณีพรรคการเมืองพรรคใหญ่ อย่างเช่นเพื่อไทย นี่พรรคใหญ่ กกต.ก็จะมีเงินสนับสนุนของคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ทํากิจกรรมเป็นช่วงๆ ไป
ประเด็นที่ 2 กรณีในงานสัมมนาของพรรคที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ไปปาฐกถาเป็นวิทยากร ฝ่ายใดเป็นคนจ่ายค่าวิทยากร หรือเจ้าตัวไม่คิดเงิน
โดยในประเด็นที่ 2 นี้ มีประเด็นย่อยๆ เกี่ยวกับการแสดงปาฐกถา ของนายทักษิณ ที่พาดพิงถึง ครม.คณะรัฐมนตรี หรือผู้ที่เป็นรัฐมนตรีไม่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี และกรณี สส.พรรคร่วมในสภาฯไม่ทําตามที่พรรคร่วมรัฐบาลหรือพรรคแกนนําหลักเพื่อไทย ประกาศเป็นนโยบายแล้ว
ทั้งยังมีประเด็นฟ้องนักร้องที่ฟ้องตัวท่านเองและให้พรรคเพื่อไทยฟ้อง โดยนายสนธิญา ระบุว่าทั้ง 3 ประเด็นนี้ อยากเรียนถามว่านายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไปเป็นนักวิทยาการไปปาฐกถา ใช้สิทธิอะไรในการที่จะไปตรวจสอบครม. หรือบังคับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงในกรณีของการที่ไปบอกว่าให้พรรคเพื่อไทยดําเนินคดี ต่อนักร้อง ก็ต้องถามกลับว่าในประเด็นนี้ ในพรรคเพื่อไทยไม่มีบุคคลหนึ่ง บุคคลใดที่เป็นฝ่ายกฏหมายที่ดูแลฟ้องร้องเองได้ ต้องรับฟัง เชื่อฟังหรือแนะนําจากนายทักษิณที่ไปปาฐกถาหรือไม่อย่างไร
นายสนธิญา ระบุว่า ข้อมูลเบื้องหลังนายทักษิณ เป็นนักโทษที่ถูกจําคุก อยู่บนชั้น 14 ถูกยึดทรัพย์ เป็นผู้ถูกตัดสิทธิทางด้านการเมืองตลอดชีวิต และมีข้อหามาตรา 112
ซึ่งในประเด็นดังกล่าว ตนเห็นว่านายทักษิณ ไม่อยู่ในข่ายที่จะไปทําหน้าที่แนะนําชี้นํา หรือไปกล่าวหาหรือไปเรียกร้องหรือในเรื่องของครม.หรือสภาได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะนายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ถูกตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต
ส่วนประเด็นที่ 3 ในกรณีของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่อนุญาตให้พี่น้องประชาชนขุดโคลนในคลองหรือในแม่น้ําขึ้นมาขายได้ ส่วนตัวไม่แน่ใจว่าคิดด้วยตรรกะอะไร คิดด้วยเหตุผลอะไร หรือว่าท่านคิดแต่ในแม่น้ําในลําคลองมีหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่ไม่ต่ํากว่า 2 หน่วยงาน คือ กรมเจ้าท่า และหน่วยงานท้องถิ่น เพราะฉะนั้นในการจะขุดหรือทําอะไรก็ตามในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือว่าเอาโคลนมาขาย จะต้องประสานหน่วยงานหลายหน่วยงานและจะไปขายที่ไหน ท่านจะให้มีประกันราคาโคลน ดิน เหมือนกับประกันราคาข้าว ประกันราคายางพารา ให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นอาชีพใหม่ที่ท่านบอกว่านั้นได้หรือไม่ ท่านกล้าประกันไหมว่าราคาโคลนคันรถหนึ่งราคาเท่าไหร่ แล้วจะเอาไปขายที่ไหน และเมื่อรถวิ่งบนถนน ก็จะถูกจับอีก ดังเช่นที่เกิดปัญหาหลายหลายภาคส่วนที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ยังฝากถึงนายกฯ แพทองธาร ถึงกรณีของน้ําท่วมภาคใต้ ขณะนี้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ท่วมมาจริงท่วมมาเท่าไหร่ครับกี่วันกี่เดือน ท่านไม่ได้ลงวันนี้มีน้ําท่วมในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนกลาง ทั้งๆ ที่รองนายกฯ ภูมิธรรมบอกเตรียมการหมดแล้ว แต่น้ำท่วมหนัก ส่วนตัวขอเรียนเสนอว่าจังหวัดนครศรีธรรมราชต้องมีต้องมีเครื่องมือที่เตือนว่า ถ้าน้ําที่ลงมาจากภูเขาหลวงนั้นแล้วไหลไปท่วมในเขตเมืองหรือไหลมาท่วมในเขตภาคตะวันตกของนครศรีธรรมราชต้องประชาชนได้รู้ก่อน
ในการยื่นเรื่องนี้ นายสนธิญาระบุว่า ข้อมูลที่เกิดขึ้นในวันนั้น กกต.ก็มีตัวแทนไปด้วย ก็ต้องเก็บข้อมูลเหล่านั้นมาพิจารณาและวินิจฉัย ว่าคําพูดของนายทักษิณ ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขัดต่อยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีหรือไม่ หรือขัดต่อกฎหมายอื่นใด ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องพิจารณาและวินิจฉัยต่อไป
ขณะเดียวกันนายสนธิญา ยังกล่าวถึงประเด็นที่นักร้อง กำลังจะโดนเช็คบิลว่า ที่บอกว่านักร้องลูก 3 เมีย 4 แต่ตนมีเมียคนเดียว และมีลูกหนึ่งคนและไม่ได้มีภาระอะไรมากมายไปกว่านั้น และตนไม่ได้ไปเคยขอเงินใคร และในบางคดีที่ตนฟ้อง ตนไม่เอ่ยถึงใคร ตนทำไปเพราะความซื่อสัตย์ต่อประชาชนและประเทศชาติ ไม่ได้จะเปิดสงคราม
ทิ้งท้ายว่ากราบเรียนไปถึงนายทักษิณ ชินวัตร เรื่องนี้แค่ร้องให้กกต.ตรวจสอบ ท่านก็ยังไม่ต้องฟ้องตน การออกมาเคลื่อนไหวทุกครั้งของตนก็กังวลหมด ซึ่งที่ผ่านมาตนก็ทํางานการเมืองมาตั้งแต่ปี 2550
Advertisement
