วันที่ 12 ก.พ. 68 พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า นาย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมด้วยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ลงพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดน และขับเคลื่อนมาตรการเสริมความมั่นคงและเศรษฐกิจชายแดน
โดยรัฐบาลได้เดินหน้าก่อสร้างรั้วแนวชายแดนไทย-กัมพูชาใน จ.สระแก้ว ระยะทาง 165 กิโลเมตร เพื่อควบคุมการเข้าออก ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และลดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกว่า 55 กิโลเมตร โดยจัดสรรงบประมาณ 286 ล้านบาทในการดำเนินการ
นอกจากนี้ ตำรวจภูธรภาค 2 ได้เพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ภายใต้นโยบาย “Seal Stop Safe” ด้วยการตั้งจุดตรวจ ตรวจค้นบุคคลและยานพาหนะ พร้อมติดตั้งกล้องวงจรปิดไร้สายและเสาไฟพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวัง
ด้านอาชญากรรมไซเบอร์ ตำรวจไซเบอร์ (CyberCopTH) ได้ใช้ระบบ AI วิเคราะห์เสียง ตั้ง Dummy Tower ดักสัญญาณปลอม และจัดตั้งศูนย์ควบคุมปฏิบัติการเฉพาะกิจ ขณะเดียวกัน กสทช. ได้ควบคุมสัญญาณโทรคมนาคมบริเวณชายแดน ป้องกันการใช้เครือข่ายโทรศัพท์ข้ามแดนผิดกฎหมาย
สำหรับการจัดการบัญชีม้าและป้องกันธุรกรรมทุจริต สมาคมธนาคารไทยร่วมกับหน่วยงานรัฐได้ยกระดับมาตรการความปลอดภัยของ Mobile Banking ป้องกันแอปดูดเงิน พร้อมเปิดสายด่วน 24 ชั่วโมง รับแจ้งเหตุเร่งด่วน และแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีทุจริต ซึ่งขณะนี้สามารถระงับบัญชีม้าได้แล้วกว่า 1.75 ล้านบัญชี ส่งผลให้อัตราการทุจริตลดลง 13% ต่อเดือน และลดลงถึง 40% ตั้งแต่เริ่มมาตรการ
อีกทั้งยังลงพื้นที่ตลาดเบญจวรรณ ติดกับตลาดโรงเกลือ เพื่อตรวจสอบผลการดำเนินมาตรการ รื้อถอนเสาสัญญาณโทรศัพท์และตัดสายอินเทอร์เน็ตที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธการ "ตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปิดช่องโหว่อาชญากรรมข้ามชาติ"
จากการตรวจสอบ พบว่า เสาสัญญาณโทรศัพท์ที่เคยส่งสัญญาณข้ามไปยังฝั่งกัมพูชาได้ถูกรื้อถอนแล้วทั้งหมด หลังพบว่าอาจถูกใช้เป็นช่องทางสนับสนุนเครือข่ายมิจฉาชีพ เเละสายอินเทอร์เน็ตที่ไม่มีการขออนุญาตอย่างถูกต้อง ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นเครื่องมือของขบวนการหลอกลวงคนไทย ก็ถูก ตัดสัญญาณทั้งหมดแล้ว เพื่อสกัดกั้นการเชื่อมต่อของเครือข่ายผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ หลังจากที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 4 ก.พ. มีมติให้ระงับการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง และสัญญาณโทรคมนาคมใน 5 จุดสำคัญของฝั่งเมียนมา เพื่อสกัดเส้นทางอาชญากรรม ล่าสุดรัฐบาลเตรียมขยายมาตรการนี้ไปยังชายแดนไทย-กัมพูชา ครอบคลุมพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว, พื้นที่ช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์, พื้นที่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ และพื้นที่จ.ตราด-เกาะกง
เพื่อให้การปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังนี้
- กองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 1 เพิ่มกำลังลาดตระเวนชายแดน ร่วมมือกับตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และหน่วยข่าวกรองในการสกัดกั้นการลักลอบขนย้ายคนและสินค้า
- ตำรวจภูธรภาค 2 และ สอท. ปฏิบัติการเชิงรุก ตรวจสอบจุดผ่านแดน ควบคุมเส้นทางขนส่งสินค้า และสืบสวนเครือข่ายออนไลน์เพื่อสกัดเส้นทางการเงินของอาชญากร
- ฝ่ายปกครอง ส่งเสริมความร่วมมือกับประชาชนในชุมชนให้ช่วยแจ้งเบาะแสอาชญากรรม
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตรวจสอบสัญญาการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า หากพบว่ามีการใช้สนับสนุนอาชญากรรมจะดำเนินมาตรการตัดไฟ
- กสทช. ตรวจสอบและควบคุมการกระจายสัญญาณโทรคมนาคมชายแดน เพื่อตัดเส้นทางการสื่อสารของเครือข่ายผิดกฎหมาย
- กรมศุลกากร ตรวจสอบและเข้มงวดมาตรการควบคุมการนำเข้า-ส่งออกสินค้า เพื่อตัดเส้นทางสนับสนุนอาชญากรรมข้ามชาติ
“รัฐบาลยืนยันจะคุมเข้มมาตรการต่อเนื่อง เน้นย้ำว่ารัฐบาลจะเดินหน้าดำเนินมาตรการทั้งหมดอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อปกป้องประชาชนจากอาชญากรรมข้ามชาติทั้งในพื้นที่ชายแดนและบนโลกไซเบอร์ พร้อมย้ำว่าหากพบเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือปล่อยปละละเลย จะถูกดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยแจ้งเบาะแส หากพบพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปลอดภัย มั่นคง และปราศจากอาชญากรรมข้ามชาติ”
Advertisement