ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ ที่มี นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่ 2 โดย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ ขึ้นชี้แจงข้ออภิปรายที่ว่ารัฐบาลไม่จริงใจในการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยก่อนจะเข้าเรื่องการชี้แจง ว่า ตนได้ รับมอบหมายให้มาชี้แจงกรณีข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจในการปฏิรูปการเมือง ไม่จริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งสองเรื่องนี้มีความสำคัญ และรัฐบาลให้ความสนใจและให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า รวมถึงกรณีที่มีการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องของ ดีลกับปีศาจ ดีลข้ามขั้ว ทั้งนี้ตนอยู่ในเหตุการณ์เสมอมา โดยหลังการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เมื่อพรรคก้าวไกลได้เป็นพรรคอันดับ 1 ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเราก็แสดงความยินดี และให้ความสำคัญกับพรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งในฐานะพรรคอันดับ 2 ก็ไม่แข่งขัน แม้ไม่มีกฎข้อห้ามว่าพรรคอันดับ 2 สามารถจัดตั้งไม่ได้ก็ตาม จนท้ายที่สุดเหตุการณ์ผ่านมา การจัดตั้งรัฐบาลมีปัญหา และแกนนำของท่านบอกว่าให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ถึงเกิดเป็นรัฐบาลนี้ขึ้น และทุกคนก็ทราบดีว่ามีความเป็นมาอย่างไร ที่ตนกล่าวเช่นนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าดีลข้ามขั้ว หรือดีลกับปีศาจนั้นเป็นเรื่องที่อาจจะมโนกันไปเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า การปฏิรูปการเมืองการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2567 ซึ่งมีนโยบายเด่นอันหนึ่งที่ไม่เคยเห็นในรัฐบาลไหนแถลงแบบนี้มาก่อน โดยมีการวิเคราะห์ปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบันว่ามีความท้าทาย 8 ประการ ซึ่งในประการที่ 7 ตามนโยบายของรัฐบาลนั้น ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยเผชิญกับความไร้เสถียรภาพทางการเมืองมายาวนาน เป็นผลจากการรัฐประหาร ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง รวมถึงการถอดถอนรัฐบาลออกจากอำนาจในแบบที่คาดเดาไม่ได้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทยอย่างรุนแรงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
จึงจำเป็นต้องร่วมมือกันปฏิรูปการเมือง ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งกำหนดหมวดว่าด้วยการปฏิรูปไว้ท้ายรัฐธรรมนูญว่า ให้ตรากฎหมายว่าด้วยแผนและการปฏิรูปประเทศ และให้เริ่มทำภายใน 1 ปี แต่การปฏิรูปการเมืองก็ไม่เกิดขึ้นเพราะผู้ร่างรัฐธรรมนูญก็เป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองด้วย ที่ออกมาก็เป็นคนละเรื่องกับการที่เราจะปฏิรูปการเมืองมีแต่กำจัด มีแต่การควบคุม การยุบพรรคการเมือง การใช้อำนาจกำกับดูแลพรรคการเมืองให้อยู่กับร่องกับรอย
นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นั้นปัญหาใหญ่ ปัญหาสำคัญ คือ การมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4/2564 มีสาระสำคัญที่เป็นปัญหาคือจะทำประชามติกี่ครั้งกันแน่ เพราะรัฐธรรมนูญ ปี 2560 เกิดขึ้นจากการทำประชามติ ถ้าทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ต้องถามประชาชนก่อนว่าจะประสงค์มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ทำให้เกิดการตีความเป็นสองนัยยะ 1. ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าต้องทำ 3 ครั้ง 2. ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าทำ 2 ท้ายสุดเกิดการยื่นญัตติขอแก้ไขมาตรา 256 เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ขณะนั้นประธานสภาสั่งไม่บรรจุ แปลว่า สภาเห็นว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง
รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ตัดสินใจทำเรื่องรัฐธรรมนูญต่อโดยตั้งกรรมการ 1 ชุด มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และกรรมการทุกคนตัดสินใจว่า 1.ทำประชามติ 3 ครั้ง 2. แก้กฎหมายประชามติ ขณะที่ รัฐสภากลับไม่บรรจุวาระ และนำเรื่องนี้เข้าสู่ ครม. เป็นมติครม. เห็นชอบให้ทำประชามติ 3 ครั้ง ให้แก้กฎหมายประชามติ ท้ายสุด กฎหมายก็ประสบปัญหา ขณะนี้ก็รอเวลา 180 วัน และให้แต่ละพรรคการเมืองเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของตัวเองกลับมาเพื่อพิจารณาร่วมกันกันก่อนจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่ว่า
"โดยรวมเรามีมติรัฐสภาไปแล้วว่า ให้สอบถามศาลรัฐธรรมนูญ หากวินิจฉัยออกมาชี้ขาดว่าทำประชามติกี่ครั้งเราก็เดินตามนั้น หากเป็นไปได้ให้ทำ 2 ครั้ง ญัตติที่เราเสนอค้างอยู่ ในรัฐสภาก็จะเดินหน้า ก็จะประกบกับ 180 วันของกฎหมายประชามติพอดี ดังนั้นเรามีความจริงใจว่าอยากจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จให้ได้" นายชูศักดิ์ กล่าว
Advertisement