ทนายเจมส์ วิเคราะห์แนวทางการต่อสู้ของทนายตั้ม เชื่อไม่สู้เรื่องหมดอายุความ เพราะไม่ได้ส่งผลดี
วันที่ 11 พ.ย.67 นายนิติธร แก้วโต หรือ ทนายเจมส์ เปิดเผยถึงการดำเนินคดี ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่ก่อนหน้านี้ทางทนายตั้ม ออกมาระบุว่าเงิน 71 ล้านบาท เป็นการให้โดยเสน่หา แต่ทางทนายสายหยุด ออกมาเปิดเผยถึงแนวทางการต่อสู้คดีว่าจะมุ่งไปในแนวทางของการยืมเพื่อการลงทุน
ทนายเจมส์ ระบุว่า ในประเด็นนี้ ตามหลักกฏหมายแล้วต้องยึดตามถ้อยคำในสำนวนเป็นหลัก การจะไปให้สัมภาษณ์ถ้าไม่ได้เข้าสู่สำนวน ศาลก็ไม่ได้นำมาพิจารณา ซึ่งการที่จะเข้าสู่สำนวนได้ ก็จะเกิดจาก 2 วิธีคือ 1. พนักงานอัยการเอาไปใช้ถามค้าน หรือ 2. ฝั่งทนายของเจ๊อ้อย ซึ่งไปเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ แล้วเอาหลักฐานในส่วนนี้เข้าไปซักค้านเพื่อทำลายน้ำหนักพยานฝั่งทนายตั้ม
ส่วนกรณีที่ฝั่งทนายตั้ม มีการวางแนวทางการต่อสู้คดี เปลี่ยนจากการฉ้อโกงให้เป็นคดีทางแพ่งนั้น ทนายเจมส์บอกว่า ทางฝั่งเจ๊อ้อยมีการกล่าวหาว่าทนายตั้มฉ้อโกง ซึ่งมีทั้งความผิดทางอาญาแล้วก็ต้องคืนทรัพย์ด้วย
ส่วนฝั่งทนายตั้ม หากสู้ว่า “ให้โดยเสน่หา” ซึ่งหากสู้ชนะก็ไม่ต้องมีโทษทางอาญาและไม่ต้องคืนทรัพย์นั้นด้วย แต่ถ้าพยานหลักฐานไปไม่ไหวเรื่องให้โดยเสน่หา เขาก็อาจจะลงมาอีกช่องทางหนึ่ง คือ “สู้ในเรื่องของความผิดทางแพ่ง” คือ ยินดีคืนทรัพย์ให้เจ๊อ้อย แต่ไม่ต้องรับผิดทางอาญา เพราะไม่ใช่ฉ้อโกง
ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของจำเลยที่จะต่อสู้แบบไหนก็ได้ แต่ศาลจะฟังหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่หากเป็นกรณีอย่างนี้ โจทก์และจำเลยให้การไปในคนละทิศและทาง ศาลก็จะชั่งน้ำหนักไปที่พยานหลักฐานเยอะ และอาจส่งผลต่อการพิจารณาลงโทษของศาล
เมื่อสอบถามว่าจะมีโอกาสหรือไม่ที่ทางทนายตั้ม จะยื่นขอความเป็นธรรมต่ออัยการ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การยกฟ้องหรือไม่ ทนายเจมส์ ระบุว่า ก็มีความเป็นไปได้ เพราะเป็นแนวทางการต่อสู้ของทนายความทุกคน ซึ่งจริงๆแล้วสามารถยื่นขอความเป็นธรรมได้ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน แต่การร้องขอความเป็นธรรมก็มีผลเสียตามมาเหมือนกัน เพราะเป็นการชี้ช่องโหว่ให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการท่านเห็นว่ามีช่องโหว่และช่องว่าง เขาก็อาจจะสอบปิดช่องว่างตรงนั้น ก็เป็นไปได้
สำหรับคดีฉ้อโกงมีอยู่ 2 แบบ คือฉ้อโกงธรรมดาและฉ้อโกงประชาชน ,การฉ้อโกงระหว่างบุคคลต่อบุคคลเป็นการฉ้อโกงธรรมดา ตามมาตรา 341 เป็นความผิดอันยอมความกันได้ ต้องแจ้งความร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนนับตั้งแต่วันที่รู้เรื่อง และรู้ตัวผู้กระทำความผิด รู้เรื่องคือรู้ว่าตัวเองถูกหลอก และรู้ตัวว่าผู้กระทำความผิดคือใคร รู้เมื่อไหร่แจ้งความเมื่อนั้นภายใน 3 เดือน
ประเด็นของคดีนี้คือเจ๊อ้อยรู้ตัวเมื่อไหร่ ว่าทนายตั้มไปหลอกเขา ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเท็จ
ส่วนกรณีหากทนายตั้ม อ้างว่ามีแชต ซึ่งยืนยันได้ว่าเจ๊อ้อยรับรู้มาก่อนหน้านี้ว่าถูกหลอก และในตอนที่รับรู้จากแชตดังกล่าวในตอนนี้คดีก็หมดอายุความไปแล้ว และทนายตั้ม อาจใช้เรื่องนี้ในการต่อสู้ว่าคดีหมดอายุความแล้ว
ทนายเจมส์ บอกว่า “การที่อายุความขาด” หมายถึงคดีฉ้อโกงมีอยู่จริง เพียงแต่ขาดอายุความ แต่ในทางแพ่งก็ยังต้องคืนทรัพย์นั้น
ส่วนการที่จะนำแชตมาเป็นหลักฐาน เพื่อชี้ให้เห็นว่า เจ๊อ้อย รับรู้มานานแล้ว ซึ่งในตอนที่รับรู้จนถึงตอนนี้คดีหมดอายุความแล้วนั้น ทนายเจมส์ บอกว่า การรับรู้นั้นขึ้นอยู่กับเจ๊อ้อย ซึ่งต้องให้เหตุผลในการรับรู้กับทางเจ้าหน้าที่ว่ารู้เมื่อไหร่ รู้ได้อย่างไร รู้จากใคร แล้วทางตำรวจเองก็ต้องมีการไปสืบพยานหลักฐาน มาประกอบคำให้การปิดช่องว่างดังกล่าวอยู่แล้ว ตนเชื่อว่าตัวทนายตั้มเองอาจจะไม่เลือกใช้วิธีการนี้ เพราะไม่ส่งผลดีต่อตัวทนายตั้มเช่นเดียวกัน เพราะอาจจะแพ้ในศาล และแพ้ย่อยยับยิ่งกว่าในสังคม
ทนายเจมส์ บอกอีกว่าในช่วงที่ทนายตั้ม ถูกจับกุมอยู่ที่กองปราบ ก็มีการสอบถามกันอยู่ในกลุ่มทนายว่าจะเข้าไปเยี่ยมหรือไม่ แต่ละคนก็ยังคุยกันว่าอาจจะยังไม่ไปในช่วงนี้ แต่ส่วนตัวตนได้โทรศัพท์ไปคุยกับคนรู้จักที่กองปราบ ซึ่งตอนนั้นอยู่กับทนายตั้มพอดี ก็มีโอกาสได้คุยกับทนายตั้ม ซึ่งตัวทนายตั้มก็บอกกับตนว่า “ไม่ต้องมาเยี่ยมผมนะ เดี๋ยวค่อยมาเยี่ยมผมตอนที่อยู่ข้างในเลย” ซึ่งจากน้ำเสียงตอนนั้นทนายตั้มเองก็ดูมีความมั่นใจ ซึ่งตนก็ไม่ได้คุยอะไรมาก การให้ความเห็นของตนก็เป็นข้อมูลที่มีการเผยแพร่ผ่านทางสื่อนำมาวิเคราะห์ แต่ข้อมูลลึกๆคงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าทนายตั้มและเจ๊อ้อย เพียงแค่ 2 คน
Advertisement