ชีวิตที่ไม่เคยง่ายของ "เบลล์ มิสทิฟฟานี่" โดนบูลลี่ตั้งแต่เด็ก เป็นกะเทยต้องเหนื่อยคูณสอง เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้คนยอมรับ
"พ่อถามว่าเลือกดีแล้วหรอจะเป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจมึงเลยจริงๆ เราเข้าใจเลยว่าโลกเขาพัง แล้วเราก็พังเหมือนกันที่เราเป็นแบบที่เขาหวังไม่ได้ เคยเดินดุ่มๆ ไปสมัครงานแล้วเขาไม่รับด้วย คือมันต้องพิสูจน์อีกแล้วหรอ ในชีวิตเราต้องพิสูจน์อีกกี่รอบ พอเราเป็นกะเทย เราต้องเหนื่อยคูณสองนะ" เบลล์ วิริทธิ์ธร นรภัทรพิมล มิสทิฟฟานี่ 2009 เล่าเบื้องหลังชีวิตที่กว่าจะมาถึงวันนี้ ไม่เคยเจอเรื่องง่ายเลย
มิสทิฟฟานี่ 2009 นี่คือความสำเร็จที่สุดในวงการนางงามของสาวประเภทสอง แล้วยังได้เป็นนักแสดงนำ มี hall of fame ได้รางวัลนักแสดงนำจากทิฟฟานี่โชว์ 3 ปีซ้อนค่ะ
ชีวิตไม่ง่าย..โดนบูลลี่ตั้งแต่เด็ก
พี่เป็นคนเชียงใหม่ค่ะ ครอบครัวก็ไม่ได้มีเงิน เรารู้สึกว่าชีวิตทำไมมันเหนื่อยจังแค่จะเรียนต่อ ม.4 ทำไมชีวิตมันยากมาก เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่แตกต่างตั้งแต่เด็ก เราอาจจะไม่ได้เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงแบบที่คนอื่นเขาเป็นกัน ทีนี้เพื่อนผู้ชายเขาเห็นว่าเราสนิทกับเพื่อนผู้หญิง เขาก็ถาม เห้ยมึงเป็นหรือเปล่า เราก็ได้แต่ตอบว่าเป็นอะไรอ่ะ แล้วจะให้ฉันเป็นอะไร เพื่อนก็ตอบ เป็นตุ๊ดไง ตอนนั้นเราโกรธรุนแรงมาก
ตอน ม.2 อาจารย์ที่ปรึกษามาเยี่ยมที่บ้าน ด้วยความที่บุคลิกของเราที่โรงเรียนเป็นอีกอย่างนึง แล้วมาเจอที่บ้านเป็นอีกอย่างนึง หวัดดีครับ ครู แบบนี้เลย เขาไม่ปล่อยผ่านเลยนะ บอกว่าเราสองบุคลิก เขาบอกพ่อเราว่าคุณรู้ไหมลูกของคุณอยู่ที่โรงเรียนกับที่นี่คนละเรื่องนะ พ่อก็ถามว่า เอ้า..เป็นยังไง
ครูบอกกับพ่อว่า อยู่ที่โรงเรียนเขาทำตัวตุ้งติ้งเหมือนผู้หญิง พูดจาจีบปากจีบคอ แต่พอมาที่นี่เป็นอีกคนนึง เราฟังแล้วช็อกมาก เพราะครูพูดระยะเผาขนเลย ทำไมพูดแบบนี้ วันนั้นแย่แน่ๆ เลย แล้วก็แย่จริง เพราะพ่อร้องไห้
เขาคงผิดหวัง ถามเราว่าเลือกดีแล้วหรอจะเป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจมึงเลยจริงๆ พ่อโกรธมาก ตาแดง หน้าแดงก่ำเลย เอาเหล้ามากินด้วย ซึ่งปกติพ่อเป็นคนไม่กินเหล้าเลย เราเข้าใจเลยว่าโลกเขาพัง แล้วเราก็พังเหมือนกันที่เราเป็นแบบที่เขาหวังไม่ได้ พ่อเฟลแม่ก็คงเฟลแหละ เราก็เลยหนีออกมาอยู่หอ ทำงานส่งตัวเองเรียนด้วย
อยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ไม่ว่าเพศสภาพใด ก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้
ตอนนั้นทำงานเต้นยามค่ำคืนค่ะ เป็นคาบาเร่ต์โชว์นี่แหละแต่เป็นระดับจังหวัด ไปเจอพี่เขาคนหนึ่งเขาเดินมาบอกว่าเห็นแวว เขาก็ให้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นครีม จะพาไปประกวดเป็นงานธิดาประจำลำพูน เราก็ไปประกวดครั้งแรกด้วยความหวังของหมู่บ้านโมเดลลิ่งที่มีอยู่คนเดียว แต่สุดท้ายก็ตกรอบ
จุดเริ่มต้นประกวดนางงามสาวประเภทสอง
พี่เขาก็ชวนไปอีกไปประกวดอีกหนึ่งเวทีที่พะเยา ซึ่งจากเชียงใหม่ไปพะเยา ตอนนั้นทางมันยังไม่ค่อยดี เราก็อ้วก ก็บอกพี่เขา "ปี้..น้องอ้วกๆ บ่ไหวแล้วปี้" พี่เขาก็บอกอดทนจะถึงแล้ว พอเราไปประกวด เราก็พูดอย่างนั้นกับกรรมการ "สวัสดีเจ้า ชื่อเบลเจ้า มาจากเจียงใหม่ เดินทางมาไกลขนาด ฮากแตกฮากแตนเลยเจ้า" ทีนี้กรรมการเขาชอบ เวทีนั้นก็เลยได้ที่ 1 มา
แล้วเราก็ติดใจ ไปประกวดเรื่อยๆ เริ่มสะสมเงินสะสมถ้วยรางวัลซึ่งได้มาเยอะมากๆ ตอนนั้นคุณพ่อเริ่มอยากรู้ว่านี่คือถ้วยรางวัลอะไร ทำไมเยอะจัง เวลาเราได้ก็จะส่งไปให้แม่ แม่ก็จะเอาออกมาโชว์เอามาขัดมาวางไว้ให้ ด้วยความที่คุณแม่ภูมิใจมาก เพราะลูกสวยเท่ากับแม่สวย ทีนี้พอคุณพ่อเริ่มเห็นว่ามันเยอะขึ้น เขาก็เริ่มถามว่าประกวดอะไร ประกวดนางงามหรอ อืม..มีเยอะขึ้นนะ
ไอ้เราก็พยายามถามแม่นะ พ่อพูดอย่างไรบ้าง แม่ก็เล่าว่าเขาไม่ได้ว่าอะไร แค่ถามเฉยๆ ว่าของใคร เปลี่ยนเป็นเกียรติบัตรแทนได้ไหม เรียนดีเรียนเด่นแทนได้ไหม ทำไมมันเขียนว่ามิสนั่นมิสนี่ อ่านไม่ค่อยออก พ่อเขาก็ยังไม่ได้ยอมรับ คือเขาไม่ได้รู้ว่าความงามก็มีมูลค่านะ คนที่เขาอยู่ข้างบนพีระมิดตอนนั้นเขาได้เงินเยอะนะ มันไปได้ เรามาเฉพาะทาง ใครคนใดคนหนึ่งมีชื่อเสียงได้ เราก็เลยพุ่งมาเลยที่การประกวดมิสทิฟฟานี่ 2009
เวทีมิสทิฟฟานี่ เปลี่ยนชีวิต
เราคิดว่าจะพิสูจน์ตัวเองแล้วให้คนเห็นคุณค่า ด้วยความที่เวทีมิสทิฟฟานี่คือเวทีที่ใหญ่ที่สุด ได้รับการยอมรับจากคนมากที่สุด เพราะไม่มีใครไม่รู้จักมิสทิฟฟานี่
จนในที่สุดเธอก็สามารถคว้ารางวัลมิสทิฟฟานี่ 2009 ได้สำเร็จ ก่อนจะก้าวเข้าสู่อาชีพนักแสดงคาบาเร่ต์หรือนางโชว์
สำหรับเบลนะคะ นางโชว์คือคนที่ไม่ได้เพียงแค่มาแสดง เต้นดีเต้นเก่ง แต่นางโชว์คือคนที่เอนเตอร์เทนให้ทุกคนมีความสุข ความประทับใจ เติมเต็มพลัง บางคนก็ 5 ปี บางคน 3 ปี บางคนต้องเรียนจบทางด้านนี้มาเลย เพื่อที่จะมาอยู่บนเวทีนี้ได้ ของเบลก็ 15 ปี ถึงจะมาอยู่บนเวทีนี้ในจุดที่เรียกว่าเป็นนักแสดงนำ
คนเราต้องฮึบ ไม่ว่าเราจะทำอะไรสักอย่างนึง เรารู้สึกว่าทำได้แล้วแต่เราไปต่อได้อีก เราฮึบได้อีก เพื่อให้งานชิ้นนั้นเป็นต้นฉบับ เป็นงานมาสเตอร์พีซ กระหายไปเถอะค่ะความพยายาม ไปให้ถึงจุดสูงสุด เราคิดว่าเราถึงแล้ว แต่เราไปได้อีก คนเรามันเกินขีดจำกัดค่ะ มันทำได้ อาชีพนี้เป็นทุกอย่างในชีวิต เป็นสิ่งที่หล่อหลอมจนมาเป็นเบลในวันนี้เลย อาชีพนักแสดงไม่ได้ให้แค่เงิน แต่ให้โอกาส ให้การยอมรับ ให้ครอบครัวเบลมีความสุขด้วยแล้วก็ให้อนาคต ให้หมดเลยค่ะ
จะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง
ทำไมคนเราต้องเหนื่อย พยายามขนาดนี้เพื่อที่จะพิสูจน์อะไรบางอย่าง แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่เราควรพยายามมากที่สุด คือการพยายามยอมรับตัวเอง เข้าใจในตัวเอง ยอมรับตัวเองว่าเราทำได้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อเรายอมรับตัวเองได้แล้ว คนอื่นก็จะเห็นค่าแล้วก็จะยอมรับเรา
ความภาคภูมิใจของพ่อ
พ่อเป็นคนไม่พูดเพราะ แต่ทุกวันนี้แกพูดว่า "ลูกจ๋า..ลูกคนสวยของพ่อ โอ้ย ความภาคภูมิใจของพ่อ กินข้าวหรือยังจ๊ะคนสวย" อยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืนเลย เรารู้สึกว่าพ่อเขาเห็นเราเป็นลูกสาว เป็นคนสวยไปด้วย เป็นความภาคภูมิใจเล็กๆ แค่เราเจอหน้าเขาแล้วเห็นเขาพูดกับเราอย่างนี้ คือที่สุดความภูมิใจของเขาแล้ว
Advertisement