ป้าตุ่ม อรชร มั่งเรือน แห่งวัดบางแพรกใต้ จังหวัดนนทบุรี สัปเหร่อหญิงคนแรกของไทย ผู้เผาศพนักโทษประหารและเผาปิดตำนานซีอุย
ป้าตุ่ม อรชร มั่งเรือน ถูกขนานนามว่าเป็นสัปเหร่อหญิงคนแรกของไทย ที่ได้เผาศพนักโทษประหาร เธอคลุกคลีกับศพคดีดังและอยู่ใกล้ชิดกับประตูแดงคุกบางขวาง ที่เอาไว้ขนศพเฉพาะนักโทษประหาร คนเป็นห้ามเดินผ่าน และเธอยังเป็นสัปเหร่อหญิงที่ได้เผาปิดตำนานซีอุย
อาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นผู้หญิงมาเผานักโทษ แล้วสมัยก่อนผู้หญิงไม่ได้ดังมากมายเกี่ยวกับอาชีพสัปเหร่อ ไม่ค่อยมีคนนับถือแล้วก็ไม่ค่อยมีคนรู้จักว่ามันมีผู้หญิงที่ทำสัปเหร่อ
พี่ทำสัปเหร่อเต็มตัวตั้งแต่ 18 ปี คือช่วยสามีมาตั้งแต่อายุ 18 ปี เหมือนเราคลุกคลีกับศพอยู่กับศพมาเรื่อย เมื่อก่อนยังใช้วิธีการมัดตราสังศพ เขาก็เรียกเรามาช่วย บางศพฉีดยาแล้วศพเริ่มแข็ง เขาก็จะให้เราช่วยจับแขน เราก็ค่อยๆ ชินไปเรื่อยๆ แต่ก่อนสามีเป็นคนเผา เราก็นั่งอยู่หัวบันไดเมรุรอจนกว่าจะเผาศพเสร็จ มันก็เป็นความเคยชิน พอตอนอายุ 30 สามีเสีย ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นคนทำเองหมด
รับหน้าที่เผาศพนักโทษประหาร
ศพนักโทษประหารสมัยก่อน พอจะประหาร สายๆ พระเข้าไปเทศน์ บ่ายๆ ประหาร สมัยก่อนพอรู้ว่าจะมีการประหาร คนเขาจะปีนต้นมะพร้าวรอดูกันเลยนะ เขาบอกว่าเสียงดังมาก เสียงปืนรัวเลย สภาพศพก็ตามนั้นเลยศพจะไม่มีการฉีดยา เต็มที่เต็มโรงศพเลยตอนนำออกมาทั้งกลิ่นทั้งน้ำเหลือง ประหารปุ๊บเขาก็ให้นอนอยู่ในเรือนจำก่อน 1 คืน แล้วค่อยนำออกมาทางประตูแดง
มีข้อห้ามคือ ห้ามคนเข้าคนออก ให้ได้เฉพาะศพอย่างเดียว นักโทษก็ออกไม่ได้ เฉพาะศพที่โดนประหารเท่านั้น คือศพจะถูกส่งออกมา มีคนคอยรับอยู่ข้างนอกจากคนข้างในที่ส่งมา แล้วก็จะนำไปเก็บในป่าช้า เขาเรียกว่าประตูผี
ป้าตุ่มเล่าว่านักโทษที่ถูกประหารชีวิต จะถูกเก็บศพไว้ที่สุสานนักโทษประหาร ส่วนอีกฝั่งคือที่เก็บศพชาวบ้าน แยกกันคนละสังกะสีปิด ช่องเก็บลักษณะไม่ได้ใหญ่ พอดีกับขนาดโลงเล็กๆ ใส่สอดเข้าไปแล้วปิดด้วยฝา ซึ่งตรงนี้เคยมีศพนักโทษที่เก็บไว้นานถึง 20 ปี เป็นชาวต่างด้าวขนยาเสพติดแล้วโดนประหาร แล้วไม่มีญาติมารับศพ ตอนที่เอาออกมาสภาพคือแห้งเหลือแต่กระดูกแล้ว
ประสบการณ์สุดฝังใจ
สมัยก่อนที่จำได้ก็คือ นายพันธุ์ สายทอง นักโทษประหารคดีฆ่าเด็กอนุบาล ข่มขืนในห้องน้ำ สมัยก่อนคดีนี้ดังมากตอนนั้นสามียังอยู่ส่วนเราเป็นผู้ช่วย สิ่งนี้คือสิ่งที่เราจำฝังใจเลยคือแบกโรงมาจากป่าช้าขึ้นบันไดเมรุไปเผา แล้วบันไดมันชันมาก น้ำเหลืองของศพมันก็ไหลออกมาจากโรง ราดจากบันไดไปยันถึงปากเตา ซึ่งได้นักโทษ 4 คนมาช่วยแบก ดีที่เขาไม่ปล่อยทิ้งกลางทางยังช่วยแบกเอามาส่งจนถึงเตา กลิ่นน้ำเหลืองคือเหม็นคลุ้งไปทั่วเมรุ สามีก็บอกให้เราไปเอาสายยางมาล้าง คือล้างไปอ้วกไป ไม่ล้างก็ไม่ได้อีกมันจะเป็นคราบติดพื้น ส่วนนักโทษทั้ง 4 คือไปยืนอ้วกหน้าห้องน้ำ
สัปเหร่อหญิงที่ได้เผาศพซีอุย ปิดตำนาน 60 ปี มนุษย์กินคน
ศพซีอุยต้องเล่าตั้งแต่ที่ไปดูกับลูกประจำที่ศิริราช จนวันหนึ่งกรมราชทัณฑ์ติดต่อมาหาเจ้าอาวาสว่าจะเอาศพซีอุยมาเผาที่นี่ เราก็เริ่มคิดละว่างานงอกแล้ว ที่บอกว่างานงอกเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเคลือบสารอะไรกับร่างซีอุย ก็นั่งคิดว่าจะทำยังไงดีเพราะกลัวเผาไม่ไหม้เผาไม่หมด คิดเป็นอาทิตย์จนกลุ้มใจ ถ้าเราเผาไม่หมดจะทำยังไง แล้วอีกอย่างคือพอเช้ามาปุ๊บเราเห็นนักข่าวเรายิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ แล้ววันนั้นต้องเผาสองศพ ซีอุยศพนึงคนพม่าอีกศพนึง เก็บไว้ประมาณ 10 ปีเหมือนกัน แต่อันนี้ง่ายหน่อยเพราะศพแห้งแล้ว
ศพซีอุยเผาไปแปปเดียว มันเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาใช้เคลือบศพมามันคล้ายๆ ขี้ผึ้งเลยทำให้เผาไว โล่งใจเลยวันนั้น เราดีใจแทนเขานะ ที่จะได้ไปขึ้นสวรรค์เสียที เพราะเขายืนทรมานมานานแล้ว เราไม่รู้หรอกนะว่าเขาทำจริงไหม เพราะเราเกิดไม่ทัน แต่สงสารแกนะแกยืนมานานแล้ว กระดูกก็ยังมีออยู่ที่วัดนี้แหละ กระดูกขาวเลย
"ซีอุยเขาไม่มีญาติ กรมราชทัณฑ์เขาไปสืบหาญาติมาแล้ว แต่ไม่มี มีแต่เพื่อนคนรู้จัก แล้วคนพวกนี้รับศพแทนไม่ได้" ป้าตุ่ม กล่าว
เป็นสัปเหร่อแต่กลัวผี...อาชีพนี้ต้องซื่อสัตย์กับผี
ถ้าถามเรื่องผีไม่เคยเจอ ไม่รู้สิหนึ่งเราอาจจะจิตแข็ง สองจากปากเราที่เคยลั่นไปว่าถ้าเราเจอผี เราจะไม่ทำศพอีกแล้ว ลาออก เลิกเลย ก็เลยไม่เคยเจอ ส่วนพวกคาถาก็มีนะ มีคาถาสะกดวิญญาณ คาถาเบิกโรง คาถาน้ำมนต์ มีหมดเพียงแต่บอกไม่ได้ สามีเคยพูดว่าถ้าเราบอกเขาไปเราก็ต้องเลิกทำ มันก็เลยถึงบอกใครไม่ได้
คาถาสะกดผีเรียกผีอะไรเราทำไม่เป็น เพราะเราไม่เคยสะกดผี สมมติคุณผีเข้ามาให้เราไปช่วยปราบ เราทำไม่เป็น เราไม่ได้มาทางไสยศาสตร์ สัปเหร่อไม่ใช่หมอผี เมื่อก่อนมีคนมาเอาขี้เถ้าบ้าง มาเอาตะปูบ้าง ถึงขั้นมาขอซื้อเลยนะ แต่พี่ไม่ขายเพราะคิดว่าเขาคงเอาไปทำของแหละ ของพวกนี้พี่ไม่ใช้เลยนะ เพราะมันต้องซื่อสัตย์
สัปเหร่อคืออาชีพจิตอาสาที่ต้องใช้ใจทำงาน รายได้น้อยแทบไม่พอกิน
รายได้สำหรับพี่คือคืนละ 100 บาท อย่างสมมติวันที่ตั้งศพก็นับตั้งแต่เช้าจรดเย็นจนสวดพระอภิธรรมเสร็จ นั่นแหละได้ 100 บาท ส่วนวันเผาก็ตั้งแต่เช้าจรดยันเผาก็นับเป็น 100 บาท แล้วก็จะได้ค่าเผาด้วย 500 บาท แค่นั้น ทุกวันนี้พี่วิ่งงานสองวัดคือวัดบางแพรกเหนือและวัดบางแพรกใต้ ถามว่ารายได้พอกินไหม บางทีมันก็พอนะ แต่บางทีก็ไม่พอ แต่ถ้าเรารู้ว่างานเริ่มจะไม่มีแล้วเราก็จะใช้เงินน้อยลง โชคดีอย่างหนึ่งคือเราไม่มีหนี้ มันก็เลยอยู่ได้
เผาศพมันไม่ใช่เรื่องง่าย คุณต้องอยู่ปากเตาประมาณ 2-3 ชั่วโมง อยู่หน้าไฟ โดนไฟที่มันร้อนกว่าไฟกะทะเป็นพันองศา ชั่วโมงแรกเราจะเผาโรงศพก่อน ให้โรงหมดแล้วเราถึงจะเผาศพ ค่อยๆ เขี่ยศพให้โดนไฟ เพราะไฟมันไม่ได้เผาตามตัว จะเผาที่หัวที่เดียว ถ้าหัวหมดเราถึงจะกลับศพพลิกไปพลิกมาเพื่อให้ศพโดนไฟ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ไฟมันก็จะไม่โดน ดังนั้นก็เลยเห็นหมดเลย สมอง ยันลำไส้ ตับ ไต คือเห็นหมด
ซึ่งพอเรามาทำตรงนี้ เห็นอย่างนี้เราก็ปลงตกนะ คือคนเรามันตายเมื่อไรก็ได้ แต่ทำอะไรให้คิด ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เป็นไปตามวัฏจักร กงกรรมกงเกวียน ป้าตุ่มกล่าวทิ้งท้าย
สัปเหร่อคือคนสุดท้ายที่จะอยู่กับคนตายจนกลายเป็นผุยผง แต่อาชีพนี้มักถูกมองข้ามหรือถูกลืมไปแล้วว่าคืออีกหนึ่งอาชีพที่ยังมีลมหายใจ...
Advertisement