ชาวบ้านอัลไพน์ เรียกร้องภาครัฐเยียวยา หลังถูกเพิกถอนสิทธิ์ที่ดิน
ชาวบ้านอัลไพน์ ขอสภาทนายความ ตั้งทีมทนาย เรียกร้องภาครัฐเยียวยา หลังถูกเพิกถอนสิทธิ์ที่ดิน โวยเดือดร้อน หวังไว้อยู่หลังเกษียณ แค่ตอนนี้ไม่มีกรรมสิทธิ์
วันที่ 5 ก.พ. ตัวแทนชาวบ้านที่อาศัยในที่ดินอัลไพน์ (สัดส่วนบ้านจัดสรร) ประมาณ 10 กว่าคน เดินทางยื่นหนังสือที่สภาทนายความ เพื่อขอให้ช่วยเหลือโดยขอให้มีการตั้งทนายความให้ดำเนินการในเรื่องของการเรียกร้องค่าชดเชย และดำเนินการทางกฎหมาย หลังกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งเพิกถอนที่ดิน ให้เป็นธรณีสงฆ์ เมื่อวันที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา จนทำให้ชาวบ้านที่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะไม่มีกรรมสิทธิ์ใดๆ
คอนเทนต์แนะนำ
โดยนายวิเชียร ชุปไธสง ระบุว่า หลังจากนี้สภาทนายความจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อพิจารณาให้คำปรึกษาให้คำแนะนำ และนำไปสู่การช่วยเหลือทางด้านกฏหมาย เพราะเป็นความทุกข์หนักของประชาชน ที่ได้ทุ่มเทเงินทุกบาททุกสตางค์จากเงินทำมาหาได้ในการซื้อที่ดินที่มีการจัดสรรแบ่งขาย และที่ดินแห่งนี้อาจจะหลุดลอยไป อาจจะต้องเสียสิทธิ์บางอย่างซึ่งเป็นไปตามกฎหมายกำหนด ทั้งนี้จากการติดตามข่าวพบทีผู้เสียหายมีประมาณ 300 กว่าคน แต่หากที่ดินตรงนี้เป็น ธรณีสงฆ์ตามพินัยกรรม และไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนต่อเป็นทอดๆ ได้ เมื่อเป็นธรณีสงฆ์การแก้ไขปัญหามี 3 แนวทางคือ ให้ทางวัดดำเนินการให้คนที่ครอบครองที่ดินในปัจจุบันจัดทำเรื่องของการเช่า และต้องได้รับความเห็นชอบจากกรมการศาสนา การอิงสิทธิ์ คือการให้เขาไปดูแลใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีการครอบครองอยู่ ซึ่งการอิงสิทธิ์สามารถที่จะทำธุรกรรมได้ แต่ต้องดูรายละเอียดเช่น การทำค้ำประกัน กู้ยืมเงิน ส่วนโอนการต้องดูในเรื่องกฎหมายต่อไป สองการใช้พระราชบัญญัติอิงสิทธิ์ ก็สามารถที่จะจัดให้มีทรัพย์อิงสิทธิ์ได้ และการสุดท้ายวัดต้องดำเนินการเสนอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ให้ตราพระราชบัญญัติโอนทรัพย์หรือที่ดินให้แก่บุคคลที่ได้มาซึ่งที่ดินโดยสุจริต แต่สุดท้ายหากไม่มีทางออกทั้ง 3 ทาง จะเข้าสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้มีการชดใช้เยียวยาชำระค่าเสียหายคืนแก่ผู้เสียหายที่ใดกระทำการซื้อที่ดินดังกล่าวมาโดยสุจริต
ด้านนายวิระ แก้วสายทิพย์ หรือ อาจารย์วิน หนึ่งในผู้เสียหาย ระบุว่า ตนได้ซื้อบ้านแล้วมาอยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวเมื่อปี 2553 จนตอนนี้สามารถโอนบ้านมาเป็นชื่อตัวเองแล้ว โดยได้เล่าให้ฟังว่า ผู้เสียหายมี 2 ส่วน ทั้งในส่วนของโครงการบ้านจัดสรร และนอกโครงการบ้านจัดสรร โดยบ้านจัดสรรมีทั้งสิ้น 312 แปลง มีผู้มาซื้ออยู่อาศัย 200 กว่าแปลง ส่วนแปลงที่เหลือยังเป็นของทางโครงการ
สำหรับการเดินทางมาสภาทนายความวันนี้ เพราะอยากปรึกษาว่า จะสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง ในการเรียกร้องชดเชยเยียวยาให้กับชาวบ้าน หรือจะต้องไปฟ้องร้องใคร อยากให้ช่วยเหลือชาวบ้านที่ใช้เงินซื้อมาอย่างถูกต้องและบริสุทธิ์ โดยทางกรมที่ดินได้ออกโฉนดมาให้ และเราสามารถนำไปจดจำนองกับสถาบันการเงินได้ แต่ปรากฏว่า ขณะนี้เราไม่สามารถมีสิทธิ์ครอบครอง ไม่สามารถนำไปทำธุรกรรมการเงินได้ นี่ความเสียหายที่ได้รับ จึงอยากขอความช่วยเหลือ เพราะชาวบ้านไม่มีความรู้ และในช่วงที่ยังไม่มีความชัดเจนก็ยังไม่รู้ว่าเราจะอยู่กันอย่างไร ในฐานะนิติบุคคล ยังสามารถเรียกประชุม เก็บค่าส่วนกลาง หรือ เลือกตั้งตัวแทนมาดำเนินการในด้านของสาธารณูปโภคได้เหมือนเดิมหรือไม่ และอยากให้หน่วยงานของภาครัฐ ฝ่ายปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือสำนักพุทธที่ มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ อยากให้บูรณะการเข้ามาดูแล เพราะหากปล่อยไว้แบบนี้ชาวบ้านจะเริ่มสับสน
ส่วนกระทรวงมหาดไทยนั้น นายวิระ บอกว่า ขณะนี้ก็ยังไม่มีการชี้แจงใดๆ ซึ่งตนได้ทำหนังสือขอความชัดเจนในการปฏิบัติตัวไปว่าจะต้องทำอย่างไรในช่วงนี้ เพราะก็เริ่มมีความกังวลมากขึ้นในการต่อสู้กับภาครัฐ
นายวิระ ยังบอกอีกว่า ส่วนตัวไม่เคยทราบมาก่อนว่า ที่ดินนี้ มีข้อพิพาท เพราะทุกคนก็หวังว่าจะได้อยู่อย่างมีความสุขในช่วงปลายชีวิตของการเกษียณ ซึ่งตนก็มาจากต่างจังหวัด ได้มาเห็นที่ดินดังกล่าว ก็ชอบเลยซื้อ และได้ตรวจสอบว่าเป็นโฉนดหรือไม่ เพื่อนำไปเป็นประกันกับสถาบันการเงินได้ ซึ่งขณะนี้หลายคนก็ยังผ่อนอยู่ ในขณะที่รู้ว่าไม่สามารถที่จะจำหน่ายจ่ายโอนได้.
Advertisement
