ทำไมไก่...ถึงกลายเป็นสัญญะเสี่ยงทายลักษณะนิสัยของช้าง ความเชื่อโบราณของคนเลี้ยงช้างที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
ช้างเลี้ยง จำเป็นจะต้องมีการฝึกและเรียนรู้คำสั่งเบื้องต้นจากควาญ ซึ่งมีความจำเป็นและเป็นเรื่องสำคัญในยามเจ็บป่วย หากช้างที่ไม่เคยผ่านการเรียนรู้คำสั่งพื้นฐาน เช่น ยกขา หมอบ นอน เป็นต้น จะทำให้เกิดอุปสรรคในการเข้ารับการรักษานามเจ็บป่วยได้
สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ (ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จ.ลำปาง เคยให้ความรู้เกี่ยวกับการให้ช้างเข้าโรงเรียนผ่านกรณีล่าสุดจากพลายขุนเดช ช้างที่ถูกย้ายมาจาก ENP เชียงใหม่ มาอยู่ที่ศูนย์คชบาล เพื่อเข้ารับการรักษาจากอาการขาหน้าซ้ายผิดรูป กระดูกสันหลังเป็นรูปตัวเอส โดยผู้ทำพิธีคือ อาจารย์บุญยัง บุญเทียม อดีตควาญช้าง/แก่ช้าง ที่ชาวช้างในภาคเหนือให้ความเคารพอย่างยิ่ง
ใจความระบุว่า...
เรื่องราวที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นวิชาการล้วนๆ อาจไม่ถูกจริตสำหรับบางท่าน ให้เลื่อนผ่านได้โดยมิติดใจอะไร บันทึกนี้เพียงแค่จดจารไว้ในโลกสมมุตินี้เผื่อว่าวันหน้า ลูกหลานไทยจักได้สืบค้น อธิบายความ และเข้าใจคนบ่าเก่าเฒ่าชะแลแก่ชราว่าเขาปฏิบัติกับช้างกันอย่างไร ด้วยไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าสังคมจะเปลี่ยนไปกี่มากน้อยเพียงไหน
โดยความเชื่อเราจะไม่กระทำการใดใดกับช้างในวันพระ วันสำคัญทางพุทธ ด้วยว่าเราต้องบำเพ็ญตนและปฏิบัติศาสนกิจกันในวันดังกล่าว (ยกเว้นเหตุสำคัญที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ เช่น ช้างเจ็บหนัก ต้องช่วยเหลือทันที)
เรื่องการฝึกช้างนั้น เราเคยกล่าวถึงแล้วในภาคของโรงเรียน คือมีบันได 4 ขั้นสำคัญ จาก การปรับตัว เรียนรู้กันและกัน มาเป็นเข้าสู่ภาคพิธีกรรม เคารพซึ่งธรรมชาติและจิตวิญญาณ แล้วจึงเข้าสู่กระบวนการเรียนเพื่อสุขภาพของช้าง และการเรียนรู้เพื่อการดำรงชีพในชีวิตประจำวันของช้าง ซึ่งเหล่านี้ช้างแต่ละเชือก แต่ละตัว ควาญแต่ละคนก็ใช้เวลาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่ฐานและสันดานเดิม
ช้างหรือนักเรียนของเรา จำแนกได้ 2 จำพวก คือกลุ่มช้างเด็ก วัยหลังหย่านม ไม่น้อยกว่า 2 ขวบ 6 เดือน และกลุ่มช้างโต ซึ่งโดยมากมักผ่านการฝึกมาบ้างแล้ว หากแต่เข้าฝึกเพื่อให้คุ้นเคยกับควาญใหม่ รู้จักภาษาใหม่
ในกรณีของ พ่อขุน เธอเป็นช้างโต แต่มิรู้จักคำหรือภาษาสื่อสารกับคนมาก่อน (เข้าใจว่าอาจเคยรู้มาบ้างแต่ไม่ต่อเนื่องจึงหลงลืมไป) จึงจัดให้อยู่ในกลุ่มเฉพาะแตกต่างออกไป
หมอเฒ่าหรือหมอช้างผู้ทำพิธี เป็นบุคคลที่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงช้างมาก่อน และดำรงตนอยู่ในศีลในธรรม ผ่านการบวชเรียนเป็นตุ๊เจ้า สึกออกมาฮ้องว่า "หนาน" หรือ "ทิด" ในภาษากลาง
อาจารย์บุญยังถือเป็นปราชญ์ช้างทางเหนือเป็นที่เคารพนับถือจากควาญช้างทั้งภายในสถาบันฯ และทางเหนือ ท่านเคยเลี้ยงช้างพลายลูกกบหรือโบทัด มาตั้งแต่เล็ก คอยไปเกี่ยวหญ้า คั้นน้ำหญ้ามาป้อนแทนนมให้ลูกกบ ด้วยเพราะลูกกบเป็นช้างกำพร้า จนวันนี้ลูกกบเติบโตแข็งแรงเป็นหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์แห่งทุ่งแม่สันน้อยในปางแม่วัง
เครื่องบูชาเซ่นไหว้ล้วนคล้ายคลึงกับการประกอบประเพณีมงคลของคนทางเหนือ รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้กับช้าง ล้วนต้องผ่านกระบวนการพิธีศักดิ์สิทธิ์ เพื่อแสดงความเคารพและขอขมาต่อเจ้าป่าเจ้าเขาในท้องที่นั้นๆ ต่อเทวดาที่ปกปักษ์รักษาตัวช้าง รวมทั้งขวัญในตัวช้าง และที่สำคัญอีกประการคือต่อครูฝึก ควาญช้างและผู้เกี่ยวข้องให้ดำเนินการด้วยความมั่นใจ เชื่อมั่น มีความปลอดภัยทั้งช้างและผู้ปฏิบัติ บนพื้นฐานของความเคารพต่อธรรมชาติ
สถานที่ที่ใช้เป็นห้องเรียนนั้นจะไม่ห่างจากที่หลับนอนของพ่อขุนมากนัก ประกอบด้วยซองฝึกรูปตัววี หลักผูกเพื่อพักผ่อนระหว่างวัน อยู่ใต้ร่มไม้ หันหน้าไปเบื้องตะวันออกหรือเหนือ พ่อขุนจะใช้เวลาในซองประมาณ 1 - 2 ชั่วโมงในเวลาเช้าและเย็น เป็นเช่นนี้ราว 2 สัปดาห์ แล้วจึงพาออกเดินเล่นในบริเวณใกล้เคียง
ทั้งนี้กระบวนการฝึกจะเป็นแบบผสมผสานตามที่เคยกล่าวไว้ในภาคเรื่องโรงเรียนฝึกช้างคือ Positive & Negative Reinforcement
ครูฝึก ล้วนเป็นผู้มีประสบการณ์มาหลายสิบปี มีลูกศิษย์มามากมายทั้งในภาคเหนือ ตะวันตก ออก ใต้ และอิสาน ประกอบด้วยครู 8 ท่าน 8 ทิศ ได้แก่ ครูอ้อด ครูแดง ครูมล ครูดาว ครูหยัด ครูสอง ครูหนึ่ง และครูแถม
ครูฝึกจะสอนช้างพ่อขุน และควาญช้างของพ่อขุน คอยให้คำแนะนำควาญว่าช้างชอบอะไรและต้องระวังอะไร หรือข้อควรปฏิบัติใดที่ต้องพึงใส่ใจ รวมทั้งการอยู่ในศีลธรรมเพราะคนอยู่กับช้าง หากพร่องสิ่งนี้ สิ่งอุบาทว์ จะเข้าหาตัวในที่สุด
อนึ่งในทุกวันพฤหัสบดี จะมีการตักบาตรกันภายในชุมชนหมู่บ้านควาญช้างแม้ปัจจัยจะไม่มากแต่กำลังศรัทธาต่อพุทธศาสนามิได้ลดน้อย ด้วยหวังว่าบุญเล็กน้อยเหล่านี้จะช่วยค้ำจุนให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถดำรงชีพ ดำรงตน อยู่กับช้างได้ ช้างมีชีวิตที่ดี ท่ามกลางสังคมที่นับวัน "ช้าง" แทบหมดบทบาทไปแล้ว จากสังคมไทย
ปล. ไก่ทำนาย ชะตาพ่อขุน "ยืนนิ่งสงบ ไม่มีท่าทีลุกลน" ท่านทำนายว่าพ่อขุนจะมีนิสัยสุขุม มีชีวิตที่สงบสุข สาธุ...
ซึ่งการเข้าโรงเรียนของช้าง หนึ่งในพิธีที่ทุกคนรอคอยก็คือการเสี่ยงทายลักษณะนิสัยของช้างผ่าน ไก่ ที่คำทำนายออกมาดังข้อมูลข้างต้น
ทำไมไก่...กลายเป็นสิ่งมีชีวิตเสี่ยงทายลักษณะนิสัยของช้าง
ไก่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อมาอย่างยาวนานแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น พิธีกรรมเกี่ยวกับชีวิต ด้วยความเชื่อว่าไก่เป็นสัตว์ที่อยู่ระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ เป็นตัวกลางระหว่างมนุษย์กับบรรพบุรุษ พิธีกรรมที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษจึงมักใช้ไก่ในการทำพิธีเสมอมา
รวมถึงใช้เป็นเครื่องเสี่ยงทายในการทำพิธี อย่างการเสี่ยงทายลักษณะนิสัยของช้าง ตามพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ จะใช้ไก่ดำสำหรับเสี่ยงทาย เป็นไก่ตัวผู้หรือตัวเมียก็ได้ ขนาดใดก็ได้ รวมถึงของอื่นๆ ที่ใช้ในการฝึกช้าง อย่าง เชือกมัดลูกช้าง ตะขอ มีด ฯลฯ สามารถนำเข้าร่วมในการทำพิธี เพื่อให้ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ และมีพลังที่จะบังคับช้าง
ในการทำพิธีเสี่ยงทาย อาจารย์ผู้ทำพิธีจะนำไก่ดำโดยใช้ส่วนของเท้าและปากไก่ลูบไปพร้อมกันบนหลังลูกช้างจากหัวไปหาง 3 ครั้ง เพื่อปัดภัยต่างๆ ออกไป แล้วโยนไก่ไปทางหลังลูกช้าง จากนั้นดูปฏิกิริยาไก่ว่าจะมีลักษณะอย่างไร เพื่อทำนายนิสัยช้างจากลักษณะอาการของไก่ เช่น ถ้าไก่วิ่งหนี แสดงว่าลูกช้างเชือกนั้นจะขี้ตื่นตกใจง่าย ถ้าไก่สลัดขนหรือสะบัดตัว แสดงว่าลูกช้างจะชอบสลัดควาญให้ตกจากหลัง หรือหาก ไก่นิ่ง แสดงว่าลูกช้างเชือกนั้นจะนิ่ง สงบ เชื่อฟังคำสั่งของครูฝึกเป็นอย่างดี
เป็นการทำพิธีเสี่ยงทายเพื่อให้ได้รู้ลักษณะนิสัยของช้าง อีกส่วนก็เพื่อความเป็นสิริมงคลกับผู้ปฏิบัติงานอย่างควาญช้างด้วย
ส่วนการลงตะขอ ครั้งแรกอาจารย์จะเสกคาถาใส่ก่อนลงตะขอข้างละ 3 ครั้ง คือลงบริเวณขมับช้างทั้งสองข้างและให้ช้างเชื่อฟังคำสอนและจดจำให้ดี จากนั้นก็จะนำกล้วยและอ้อยที่เข้าพิธีให้ลูกช้างกินเพื่อให้ลูกช้างเชื่อฟังคำสั่งสอน และที่สำคัญที่สุดให้ลูกช้างเชื่อฟังควาญช้างไปตลอดเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์อาจารย์ผู้ทำพิธีจะไม่อาบน้ำเป็นเวลา 7 วันจนเสร็จสิ้นพิธีกรรม
Advertisement