กำลังเป็นประเด็นที่ร้อนแรงขณะนี้ สำหรับ ทราย สก๊อต หรือ "สิรณัฐ สก๊อต" เจ้าของฉายา "มนุษย์เงือก" ที่ลาออกจากที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ โดยได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ ถึงหลากหลายประเด็น
เข้าไปเป็นที่ปรึกษากรมอธิบดีได้ยังไง
ก่อนหน้านี้ได้ทำงานช่วยอุทยานมานอกรอบ ทั้งดำน้ำ เซอร์เวย์ เก็บขยะ 3 เดือน กับทางอุทยานทางบก เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ได้ไปช่วยนักท่องเที่ยวในเขตอุทยานเพราะว่าเจ้าหน้าที่เราว่ายน้ำไม่แข็งมารอบนึง ช่วยภารกิจอนุรักษ์นอกรอบเพราะผมเป็นเพื่อนกับเจ้าหน้าที่ จนได้เป็นข่าวที่ว่ายน้ำข้ามเกาะ ในตอนนั้น อธิบดีของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เห็นแล้วชอบก็เลยชวนไปทำความรู้จัก แล้วก็ได้ทำงาน จริงๆ ก็เคยทำงานมาด้วยกันหลายรอบ หลังจากนั้นก็มีเคสว่ามี อินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่งไปถ่ายภารกิจเจ้าหน้าที่ แล้วเปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำหน้าที่ ก็เลยลองทำคลิปบรรยายความยากของมุมนี้ด้วยว่า นักท่องเที่ยวมีปัญหาเจ้าหน้าที่ก็ลำบากใจ เพราะสื่อสารกันยาก มันเลยเป็นสาเหตุทำให้ถูกแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา เหมือนช่วยดูแลอุทยานทางภาคใต้ให้ เพราะเก่งเรื่องทางน้ำ
ในการทำงานมีการคุยกันชัดเจนว่า หน้าที่เป็นยังไงบ้าง ใครรับรู้บ้าง อุทยานไหนบ้าง ก็มีหน่วยงานพิเศษต่างๆ ที่รู้ภารกิจผมด้วย คือ Smart patrol ผู้พิทักษ์ป่าต่างๆ แล้วก็มีกลุ่มไลน์ต่างๆ ที่คุยกับหัวหน้าอุทยานทางทะเล ทุกคนรู้จักผมหมด ยืนยันไม่ได้ไปเบ่งใคร ผมไม่ใช่คนนิสัยก้าวร้าว ผมให้เกียรติคนทำงานทุกคน ผมเชื่อว่าตัวเองไปส่งเสริมภารกิจของเขา ไม่ได้ระบุว่าเขาต้องเป็นแบบไหน ก่อนจะเข้าพื้นที่จะมีการขอก่อนเสมอ จะมีช่วงหลังๆ ที่บอกก่อน 1 อาทิตย์เพราะต้องการเห็นปัญหาที่แท้จริง
หลายภารกิจที่ทุกคนเข้าใจว่าอุทยานทำ จริงๆ แล้วอุทยานไม่ได้ทำกัน นั่งเรือไปเซอร์เวย์ปะการังทุกเกาะคือสิ่งที่เขาไม่ได้ทำกันตลอดเวลา ส่วนใหญ่จะใช้เรือไปเก็บค่าตั๋วเข้าอุทยาน แล้วก็ไปช่วยกรณีที่มีอุบัติเหตุ เขาไม่มีงบประมาณมากพอที่จะไปดูแลตามเกาะต่างๆ สำรวจตรวจสอบแก้ไขฟื้นฟูธรรมชาติ เขาทำไม่มากพอ
เวลาลงพื้นที่ก็จะมีช่างภาพ 1 คน บางทีก็มีนักวิชาการไปด้วย และมีเจ้าหน้าที่ 3-4 คนที่ไปด้วย ซึ่งในข้อกล่าวหาที่ว่ามีบอดี้การ์ดด้วยนั้น ยอมรับว่ามีในช่วงหลังๆ เพราะตั้งแต่เริ่มเปิดเผยเรื่องทางธุรกิจภาคใต้มีคนวิ่งมาด่าต่อหน้า เข้าถึงตัว และมีหลักฐานเป็นคลิปตลอด ซึ่งตัวเองเป็นคนชอบถ่ายคลิปเพราะมันจะเป็นหลักฐาน
ลาออกจากที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ
สาเหตุที่ลาออก เพราะ ตัวเองรู้สึกว่า ยิ่งทำงานยิ่งเห็นเยอะเกินไป และรู้สึกว่าไม่อยากเป็นไม้กันหมาให้กับใคร เราอาจจะเห็นแค่บางเรื่องที่เขาปรุงแต่งตอนเราลงพื้นที่ แต่ไม่รู้ว่าเาทำอะไรเบื้องหลัง รู้แค่ว่าหลายอย่างที่เรารายงานกรมอุทยานหรืออธิบดีว่า ตรงนี้ต้องการการแก้ไขนะ ชาวบ้านต้องการทุนตรงนี้ ต้องการความช่วยเหลือแบบนี้ หลายอย่างไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งตนเริ่มเห็นว่า เรื่องที่บอกไปไม่ค่อยได้รับการแก้ไข ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง บางเรื่องที่ไม่ต้องใช้งบประมาณในการแก้ไขเยอะ กลับไม่ได้รับการแก้ไข ตัวองพยายามลงไปคุยทั้ง 2 ฝ่าย กลับกลายเป็นว่าโดนคนในพื้นที่ด่า และทางอุทยานก็ด่า เวลาทางชาวบ้านทำหนงสือร้องเรียนตน ทางอุทยานก็ไม่ออกมาช่วย
อย่างประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงกับชาวบ้าน คือการปล่อยให้เรือเข้าไปโยนสมอในเขตฟื้นฟูธรรมชาติ ซึ่งจุดที่โยนสมอเป็นปะการัง ซึ่งไม่ควรเข้าไปแต่แรกอยู่แล้ว และก็มีจุดที่มีทุ่น และเปิดให้เข้าอยู่แล้ว
ผมอยู่ในงานอนุรักษ์มา 4 ปีแล้ว เปลี่ยนบทบาทมาเยอะ ผมมองว่าเรื่องที่พูด นักอนุรักษ์คนอื่นๆ พูดมามากแล้ว ตอนแรกเข้าใจว่า การเจรจาทั้ง 2 ทางคือวิธีที่ดี แต่หลายๆ ครั้งที่เห็นว่า ไม่ได้มีการมาเจอกันตรงกลาง ตนเป็นคนชัดเจน ยืนยันไม่เคยไปเหยียดชาวบ้าน แต่สิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่เขาทำมันไม่เหมือนกัน ตอนนี้ปะการังกว่า 80% เสียหาย ถ้าเขารักทรัพยากรธรรมชาติจริง จะไม่ออกมาเป็นแบบนี้
หลากหลายประเด็นดรามา
ทราย สก๊อต ชี้แจงถึงคลิปที่เกาะไก่ ตนได้เอาแผนที่ที่ทางอุทยานประกาศปิดเพื่อจะฟื้นฟูให้ บ.ทัวร์ดู ซึ่งประกาศตั้งแต่ปีที่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งประกาศ คุณมีเวลาในการปรับตัว แต่ไม่ทำ ซึ่งตอนนี้ปะการังได้ตายไปกว่า 80% แล้ว
ส่วนคลิปที่ชาวอิตาเลียนเล่นน้ำในพื้นที่ปิด เมื่อเข้าไปเตือนกลับถูกด่ากลับมา ซึ่งเป็นประเด็นดังก่อนหน้านี้นั้น ยืนยันว่าไม่ได้มีการไปดุด่าว่ากล่าว มีแค่ไปเตือนตามที่เห็นใรคลิป ตอนนั้นไม่มีเรือทัวร์อยู่ใกล้ชิด ไม่มีใครดูแล เขาเป็นผู้สูงอายุด้วย ยืนยันไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุเลย
ส่วนประเด็นดรามาที่ว่า ทราย สก๊อต เป็นคนเรื่องเยอะ ต้องดื่มน้ำแร่จากต่างประเทศ และไม่กินอาหารทะเลที่ทางอุทยานฯ จัดไว้นั้น ยืนยันตนไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนู ที่ไม่กินอาหารทะเล เพราะว่าสัตว์ทะเลเป็นสิ่งที่ตัวเองรัก ไม่อยากไปทำร้ายเขา เวลาลงพื้นที่ผมจะกินแค่ผัดผัก ไข่ต้ม และซอสแม็กกี้ ส่วนเรื่องดื่มน้ำแร่ไม่เป็นความจริง ทางอุทยานฯ มีรังน้ำเตรียมไว้ให้แล้ว
ส่วนช่างภาพนั้นเป็นทีมงานจิตอาสาที่ทางอุทยานฯอบรมเมื่อปีที่แล้ว ไม่ใช่ทีมงานส่วนตัว ยืนยันไม่ได้มีการทำคอนเทนต์เพื่อตัวเอง ภาพทุกภาพที่ถ่ายมาส่งให้ทางกรมอุทยานฯตลอด ตัวเองไม่ได้เป็นแอดมินของเพจ
ส่วนประเด็นที่มีการไปเตือน นักท่องเที่ยว บ.ทัวร์ บ่อยครั้งใช้คำพูดดูถูกเหยียดหยาม ยืนยันไม่เคยไปดูถูกคนอื่น การเหยียดไม่ใช่แนวทางการทำงานที่ถูกต้อง แต่ถ้าเขารู้สึกว่าถูกดูถูกก็อยู่ที่วิธีการคิดของเขา
ส่วนประเด็นที่ ทราย สก๊อต ถูกฟ้องหมิ่นประมาทจากเจ้าของเรือที่ได้ลงคลิปให้อาหารเต่าทะเลไป โดยในคลิปนั้นมีบางช่วงถ่ายติดเรือที่มีชื่อผู้ผลิตเรือด้วย ซึ่งเมื่อทราบเรื่อง ก็ได้ลบคลิปส่วนนั้นและได้ชี้แจงว่า เจตนาของตนคือต้องการสื่อเรื่องการให้อาหารเต่า ซึ่งมันเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมของเต่าที่หาอาหารเองตามธรรมชาติ การให้เต่าแบบนี้จะทำให้เต่าเรียนรู้ว่าการเข้าหาคนแล้วจะได้อาหาร เมื่อเต่าว่ายเข้าหาคนมากขึ้นก็อาจเสี่ยงต่อการถูกใบพัดเรือได้
ส่วนประเด็นที่มีการเตรียมยกเลิกการเป็นที่ปรึกษานั้น ทราย บอกว่า ตนออกมาแล้ว ขึ้นอยู่กับเขาว่าจะดำเนินการยังไง ตนทำทุกอย่างตามที่ตกลงกัน ทำถูกทุกข้อ ตามที่คุยกัน
นอกจากนี้ ทราย สก๊อต ได้ฝากไปถึงอธิบดีฯ ว่า "ขอบคุณเขามาเสมอ สำหรับโอกาสทุกๆ โอกาส เพราะอธิบดีฯเป็นคนให้โอกาสให้ผมทำงานมาตั้งแต่แรก สิ่งที่มันเกิดขึ้นตอนนี้เชื่อว่ามันไม่ดีต่อภาพอนุรักษ์เลย อยากให่คนรุ่นใหม่เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้น งานของเจ้าหน้าที่กับงานอุทยานฯ อยากให้มันปลอดภัยมากขึ้น ให้มันมีความชัดเจน โปร่งใส มากขึ้น มันคือที่สิ่งสังคมไทยควรจะได้จากอุทยานฯ จากเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่ก็สมควรได้เหมือนกัน โลกกำลังจะเปลี่ยน เพราะทรัพยากรกับภาวะโลกร้อนมันมาแล้ว เราไม่มีเวลามานั่งทะเลาะกัน เราต้องทำงานร่วมกัน เท่าเทียมกัน เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติที่มันกำลังจะเสียหายอย่างจริงจัง"
"ทราย สก๊อต เป็นผู้ชายที่ชอบว่ายน้ำแล้วกินไข่ต้มกับแม็กกี้ครับ"
ขอบคุณ : รายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ
ภาพ : Psi Bhirombhakdi Scott
Advertisement