MOSHI ฟอร์มดี นำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันแรก เปิดที่ราคา 35 บาท ทะยานเหนือราคาจองซื้อที่ 21 บาท/หุ้น ถึง 14 บาท หรือ 66.67%
‘บมจ. โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น’ หรือ MOSHI ธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทยภายใต้ชื่อ “Moshi Moshi” นำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรกในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจพาณิชย์ โดยใช้ชื่อย่อ ‘MOSHI’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ หลังขายหุ้น 75 ล้านหุ้นหมดเกลี้ยงในรอบ IPO
นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญและหนึ่งในความสำเร็จของบริษัทฯ และเชื่อมั่นว่าศักยภาพ และข้อได้เปรียบของบริษัทฯ และพื้นฐานการดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและสนับสนุนให้ MOSHI เป็นหนึ่งหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสาขาร้าน Moshi Moshi และร้าน GIANT ที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 101 สาขา (ณ วันที่ 30 กันยายน 2022) โดยสาขาส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย
ร้าน Moshi Moshi มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากถึง 12 กลุ่ม เช่น เครื่องใช้ในบ้าน (Home Furnishing), กระเป๋า (Bag) เครื่องเขียน (Stationery) ตุ๊กตา (Plush Toy) ของใช้แฟชั่น (Fashion) อุปกรณ์เสริมความงาม (Beauty) และ เครื่องนุ่งห่ม (Apparel) โดยมีจำนวนสินค้า (SKUs) รวมกว่า 22,000 SKUs
นอกจากนี้ ร้าน Moshi Moshi ยังได้มีการวางจำหน่ายสินค้าในลักษณะ Collection เป็นประจำทุกเดือน เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ และสร้างสีสันให้แก่ร้านค้า โดยสินค้า Collection มีทั้งลวดลายที่ออกแบบโดยทีมงานของบริษัทฯ และตัวการ์ตูนที่ได้รับลิขสิทธิ์ ได้แก่ ตัวการ์ตูน Mickey Mouse, We Bare Bears, Winnie the Pooh, Snoopy และ Hello Kitty เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนใช้สำหรับการขยายสาขาและการลงทุนโครงการในอนาคต รวมถึงการพัฒนาสาขาเดิม และการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ เช่น การพัฒนาระบบ Supply Chain และระบบการขายสินค้าหน้าร้าน (Point of Sale System)
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาการขยายสาขาในรูปแบบนอกห้างสรรพสินค้า (Stand Alone) ในพื้นที่ใกล้กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น บริเวณแหล่งชุมชนและโรงเรียน รวมถึงมีแผนในการเปิดสาขารูปแบบแฟรนไชส์ (Franchise) เป็นต้น และตั้งเป้าหมายการขยายร้านสาขาของบริษัทฯ เพิ่มเป็น 165 สาขา ภายในปี 2025 เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ในประเทศไทย