ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกข้ามชาติ Couche-Tard เจ้าของร้านสะดวกซื้อ Circle K เดินหน้ารุกคืบ! ล่าสุดยื่นข้อเสนอขอซื้อกิจการ Seven & i Holdings บริษัทแม่ของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ด้วยมูลค่ามหาศาลกว่า 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.58 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากข้อเสนอเดิม ท่ามกลางกระแสข่าวการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ของ Seven & i Holdings และความไม่แน่นอนของนักลงทุน การตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจค้าปลีกโลก และอนาคตของร้าน 7-Eleven ทั่วโลกจะเป็นอย่างไร?
จากรายงานของ รอยเตอร์ ระบุว่า อาลีมองตาซิยง คูช-ทาร์ด (Alimentation Couche-Tard Inc.) บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของแคนาดา เจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ Circle K ได้ยื่นข้อเสนอปรับปรุงราคาเพื่อเข้าซื้อกิจการเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ (Seven & i Holdings Co.) บริษัทญี่ปุ่นผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven โดยแหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดกับเรื่องนี้สองรายเปิดเผยว่า ข้อเสนอครั้งใหม่นี้มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.58 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากข้อเสนอเดิม ทั้งนี้ หากการทำธุรกรรมดังกล่าวประสบความสำเร็จ จะถือเป็นการเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นโดยบริษัทต่างชาติ
บลูมเบิร์กรายงานว่า คูช-ทาร์ดได้ยื่นข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการเซเว่น แอนด์ ไอ ในราคา 18.19 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นจากข้อเสนอเดิมที่ 14.86 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3.85 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกเซเว่น แอนด์ ไอ ปฏิเสธ ด้าน เซเว่น แอนด์ ไอ ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า ข้อเสนอใหม่นี้เป็นการเสนอแบบส่วนตัวและไม่มีผลผูกพัน โดยบริษัทมีแผนที่จะดำเนินการเจรจาเป็นความลับตามคำขอของคูช-ทาร์ด ขณะที่คูช-ทาร์ด เจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ Circle K ปฏิเสธที่จะให้ความคิดเห็นใดๆ
"ข้อเสนอที่เพิ่มขึ้นจากคูช-ทาร์ดนั้น มีแรงจูงใจมากกว่าข้อเสนอเดิมอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะยังคงมีอุปสรรคด้านกฎระเบียบ แต่คณะกรรมการบริหารของเซเว่น แอนด์ ไอ ควรพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการตามข้อตกลงนี้" มโนช เจน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Maso Capital ในฮ่องกงกล่าว
ราคาหุ้นของเซเว่น แอนด์ ไอ ปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 12% ทันทีที่ข่าวการยื่นข้อเสนอเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ก่อนที่จะลดลงมาปิดตลาดที่ 2,335 เยน (15.7 ดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 4.7% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนบางส่วนต่อความเป็นไปได้ในการบรรลุข้อตกลง ทั้งนี้ เมื่อเดือนที่ผ่านมา เซเว่น แอนด์ ไอ ได้แสดงจุดยืนว่า ข้อเสนอเริ่มต้นของคูช-ทาร์ด "ประเมินมูลค่าบริษัทต่ำกว่าความเป็นจริง" และยืนยันแผนการในการเพิ่มมูลค่าองค์กรด้วยกลยุทธ์ของตนเอง ซึ่งนักวิเคราะห์และผู้นำธุรกิจหลายท่านมองว่า เซเว่น แอนด์ ไอ จำเป็นต้องพิสูจน์ถึงศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อกลยุทธ์ดังกล่าว
กลุ่มนักลงทุน ซึ่งรวมถึงนักลงทุนสถาบันต่างชาติ อาทิ ValueAct Capital และ Artisan Partners ต่างแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เซเว่น แอนด์ ไอ ควรมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่ธุรกิจหลักของบริษัท นั่นคือ ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ซึ่งมีเครือข่ายสาขากว่า 80,000 แห่งทั่วโลก มากกว่าการกระจายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ต สถาบันการเงิน ร้านอาหาร Denny's และ Tower Records
บรรดานักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างเฝ้ารอรายละเอียดแผนการเพิ่มมูลค่าองค์กร ซึ่งคาดว่าจะประกาศในรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ของเซเว่น แอนด์ ไอ ในวันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคมนี้ โดยก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ Nikkei ได้รายงานว่า ผลกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะลดลง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเนื่องมาจากภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม เซเว่น แอนด์ ไอ ซึ่งมีรายได้จากธุรกิจร้านสะดวกซื้อในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของรายได้รวม ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธรายงานดังกล่าว โดยยืนยันว่า ข้อมูลการลดลงของกำไร 20% ไม่ได้มาจากการเปิดเผยของบริษัทแต่อย่างใด
นายทราวิส ลันดี นักวิเคราะห์จาก Quiddity Advisors ได้แสดงความคิดเห็นผ่านแพลตฟอร์ม Smartkarma ว่า เซเว่น แอนด์ ไอ อาจประกาศแผนการขายหุ้นบางส่วนใน Seven Bank ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ดำเนินธุรกิจธนาคาร เพื่อปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความกระชับ และมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ แหล่งข่าววงในยังได้เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เซเว่น แอนด์ ไอ กำลังพิจารณาขายหุ้นในธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งอาจหมายถึงการเร่งดำเนินการตามแผนการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ตามที่บริษัทได้ประกาศไว้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน สถานีโทรทัศน์โตเกียวทีวีรายงานว่า เซเว่น แอนด์ ไอ กำลังพิจารณาเปลี่ยนชื่อบริษัท เพื่อสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการมุ่งเน้นธุรกิจร้านสะดวกซื้อเป็นแกนหลัก
อนึ่ง เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศให้เซเว่น แอนด์ ไอ เป็นธุรกิจ "หลัก" ที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า อาจเป็นการเพิ่มอุปสรรคด้านกฎระเบียบในการเข้าซื้อกิจการ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่นได้ออกมายืนยันว่า การจัดประเภทดังกล่าวจะไม่ส่งผลต่อระดับการตรวจสอบของรัฐบาล หรือ กระบวนการพิจารณาข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการแต่อย่างใด
ยังคงเป็นสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด การยื่นข้อเสนอซื้อกิจการในราคาที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของ Couche-Tard ในการเข้าถือครองธุรกิจร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ระดับโลกแห่งนี้
อย่างไรก็ดี Seven & i Holdings ยังคงยืนยันที่จะดำเนินกลยุทธ์ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งประกอบด้วยการปรับโครงสร้างองค์กร การพิจารณาขายธุรกิจบางส่วน และการมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่ธุรกิจหลัก อันได้แก่ ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ทั้งนี้ กระบวนการเจรจา การตัดสินใจของคณะกรรมการบริหาร และผลลัพธ์สุดท้ายของการทำธุรกรรม
ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางและอนาคตของอุตสาหกรรมค้าปลีก รวมถึงภาพลักษณ์ของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในระดับสากล ซึ่งคงต้องติดตามความคืบหน้าและบทสรุปของสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่องต่อไป
ที่มา รอยเตอร์