หมูกระทะ จะเยียวยาทุกอย่าง เเต่ถ้าหนุ่มๆสาวๆที่รักความงาม เพิ่งสระผมมา ยิ่งถ้าทําหัตถการฉีดโบท็อกซ์ การกินหมูกระทะ นั่งอยู่หน้าเตาร้อนๆก็คงอาจไม่ได้ตอบโจทย์เราสักเท่าไร
นี่คือปัญหาหลักที่เบอร์เกอร์อยากเข้ามาบุกตลาดหมูกระทะ ผ่านการครีเอทเมนูสุดล้ำ ขจัดข้อจํากัดการกินหมูกระทะเเบบเดิมๆ ด้วย ‘เบอร์เกอร์หมูกระทะ’
ทลายข้อจำกัด กังวลหัวเหม็น – โบท็อกซ์ละลาย
แม้หมูกระทะ จะเป็นเมนูอาหารยอดฮิตของกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มวัยทำงาน ที่มักจะเป็นมื้ออาหารเฉลิมฉลอง สังสรรค์ในวาระต่างๆ ในบรรยากาศที่มีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเวลาเลิกงาน วันปีใหม่ หรือแม้แต่วันหวยออก
แต่สำหรับหนุ่มๆสาวๆที่รักความสวยความงาม ที่เพิ่งไปทำหัตถการฉีดโบท็อกซ์มา ก็จะทราบดีว่า หลังจากที่เราฉีดโบท็อกซ์มา ผู้ฉีดควรหลีกเลี่ยงความร้อนในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังฉีด ไม่ว่าจะเป็น เข้าซาวน่า, ออกกำลังกายหนัก ๆ, ตากแดด, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่จะส่งผลให้ร่างกายรู้สึกร้อน เพื่อทำให้โบท็อกซ์ไม่ละลาย อีกทั้งยังมีตัวแปรสำคัญอย่างความกังวลเรื่องหัวเหม็น และขี้เกียจสระผม ทำให้ หมูกระทะ ก็อาจจะเป็นมื้ออาหารที่ไม่ตอบโจทย์เราสักเท่าไร
ซึ่งนี่กลายมาเป็นที่มาในการพัฒนาเบอร์เกอร์หมูกระทะ สำหรับคนที่อยากกินหมูกระทะในรูปแบบใหม่ๆ โดยมีเบอร์เกอร์เป็นตัวชูโรง
เบอร์เกอร์หมูกะทะ เอาใจกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงาน
เบอร์เกอร์หมูกระทะ มีจุดเด่นอยู่ที่ชิ้นหมูย่างชิ้นโตที่นำไปย่างด้วยเตาไฟอันเป็นซิกเนเจอร์ของเบอร์เกอร์คิง ที่สามารถเลือกเปลี่ยนเป็นเนื้อวัวแทนได้ มาพร้อมซอสสูตรพิเศษที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้ทานเมนูหมูกระทะจากหน้าเตาในบรรยากาศสไตล์ฟิวชัน โดยมีให้เลือก 3 เมนู ได้แก่
- ซิงเกิ้ล หมูกระทะ เบอร์เกอร์ ราคา 89 บาท
- ดับเบิ้ล หมูกระทะ เบอร์เกอร์ ราคา 149 บาท
- ข้าวหมูย่างซอสหมูกระทะ ราคา 79 บาท
โดยเมนูดังกล่าวเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2567 จนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ที่ร้านเบอร์เกอร์คิงทุกสาขา (ยกเว้นสาขาท่าอากาศยานและสาขาท่องเที่ยว)
ส่องภาพรวมเบอร์เกอร์คิง
ปัจจุบัน มูลค่าตลาดเบอร์เกอร์ในไทย ปี 2567 อยู่ที่ 9,500 ล้านบาท เติบโต 8.5% เมื่อเทียบกับปี 66 ที่ผ่านมา โดยเบอร์เกอร์คิงนับว่าเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคครบครันทั้งคนไทยและต่างชาติ ที่มีสัดส่วนลูกค้าคนไทยอยู่ที่ 60% และนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 40% ซึ่งโดยภาพรวมลูกค้าเบอร์เกอร์คิงมีการใช้จ่ายต่อบิลอยู่ที่ 300 บาท
และแม้ว่า 3 สินค้าขายดีของเบอร์เกอร์คิง(Burger King) คือ เบอร์เกอร์วอปเปอร์ ไก่ทอด และของทานเล่น แต่เบอร์เกอร์คิงได้เดินหน้ากลยุทธ์ทางการตลาด “เบอร์เกอร์คิง ไทย ซีรีส์” ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ "ลิ้นไทยต้องรสไทยแท้" ที่มุ่งเน้นเจาะฐานกลุ่มผู้บริโภคเพิ่ม ผ่านการนำเสนอเมนูใหม่ล่าสุด “เบอร์เกอร์หมูกระทะ” เมนูเบอร์เกอร์ใหม่ที่พัฒนามาจากอินไซด์ของผู้บริโภคคนไทยที่ชื่นชอบการรับประทานหมูกระทะ เอาใจผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน
เจาะกลยุทธ์ไทยซีรีย์ เมนูเบอร์เกอร์สุดครีเอท ที่มัดใจคนไทยได้อยู่หมัด
สำหรับกลยุทธ์ไทยซีรีส์ของเบอร์เกอร์คิงที่ผ่านมา ได้มีการนำเสนอเมนูรสชาติถูกปากคนไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น เมนูโจ๊ก เมนูไก่ทอดหาดใหญ่ หรือเมนูของหวานอย่างพายขนมครก
โดยครั้งนี้นอกจากการนำเสนอเมนูเบอร์เกอร์ใหม่ ยังได้ต่อยอดเมนูสุดฮิต ไก่ทอดหาดใหญ่โคตรหอมเจียว ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันยังได้รับกระแสตอบรับดี ดังนั้นในซีรีส์นี้จึงส่งความฟินแบบต่อเนื่องด้วยการเพิ่มปริมาณหอมเจียวมากขึ้นถึง 3 เท่า ในราคา 149 บาท ควบคู่กับการทำกิจกรรมการตลาด เพื่อสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง ผ่านสื่อหลากรูปแบบในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา เช่น
- การเปิดตัวเสื้อสงกรานต์ที่นำไก่ทอดหาดใหญ่มาเรียงร้อยในรูปแบบของเสื้อลายดอก
- การทำสื่อเต้นท์การ์ดให้กับร้านอาหารท้องถิ่นที่หยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์
- การเปิดตัวรถกุ๊กกุ๊กไก่ทอดหาดใหญ่ที่ช่วยสร้างการรับรู้และกระตุ้นความสนใจจากผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายท้องถิ่นได้อย่างกว้างขวาง
- การมอบส่วนลดในเมนูไก่ทอดหาดใหญ่สำหรับผู้ที่เดินทางโดยสารสายการบินทั้งในและต่างประเทศในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา
โดยจากการดำเนินกลยุทธ์ภายใต้แคมเปญ “ลิ้นไทยต้องรสไทยแท้” ทำให้เบอร์เกอร์คิงมีฐานผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 10% จำนวนการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 20% ซึ่งแคมเปญเบอร์เกอร์หมูกระทะในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งแคมเปญที่จะมาช่วยต่อยอดขยายฐานผู้บริโภคให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าปี 2567 จะสามารถขยายฐานผู้บริโภคคนไทย 25%