SCBX เรียกประชุมผู้ถือหุ้น ม.ค. 66 ขออนุมัติระดมทุนครั้งใหญ่ออกตราสารหนี้ 1 แสนล้านบาท ลุยลงทุน "สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล-สินทรัพย์ดิจิทัล-แพลตฟอร์ม" มุ่งสู่บริษัทเทคโนโลยีเต็มตัว
บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 คณะกรรมการบริษัทได้มีมติกำหนดวันประชุมและระเบียบวาระการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 ในวันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2566 เวลา 14.00 น. โดยเป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และมีวาระการชุมเรื่อง "พิจารณาอนุมัติการออกและเสนอขายตราสารหนี้ ภายในวงเงินไม่เกิน 100,000 ล้านบาท" หรือเทียบเท่าในเงินสกุลอื่น
วัตถุประสงค์หลักของการออกตราสารหนี้ล็อตใหญ่ครั้งนี้ เพื่อนำไปลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง ตามแผนธุรกิจ 3 ปี (2565 – 2567) ซึ่งบริษัทจะมีการลงทุนใน 3 ด้านหลักๆ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของบริษัทในการเป็น "บริษัทเทคโนโลยี" (Technology Company) ซึ่งได้แก่
- การลงทุนในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล (Consumer Finance)
- การลงทุนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets)
- การลงทุนในธุรกิจแพลตฟอร์ม (Platform)
สำหรับตราสารหนี้ที่จะออก ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น มีได้ทุกประเภททั้งสกุลเงินบาท และ/หรือสกุลเงินต่างประเทศ เสนอขายได้ทั้งในประเทศ และ/หรือในต่างประเทศ โดยเสนอขายได้ทั้งให้แก่ผู้ลงทุนเฉพาะเจาะจง และ/หรือ ผู้ลงทุนประเภทสถาบันที่กำหนดตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ/หรือ ประชาชนทั่วไป
ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงสร้างทางธุรกิจของ SCBX สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ
- กลุ่มที่มีกำไรเติบโตดีและยังเน้นรักษาผลกำไรอยู่ (cash cow) ซึ่งได้แก่ กลุ่มธุรกิจธนาคาร การเงิน และประกันฯ โดยปัจจุบัน SCBX มีธุรกิจในกลุ่มนี้อยู่ 5 บริษัท
- ส่วนกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ (New Growth) ซึ่งจะเป็นธุรกิจใหม่ที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบและกฎเกณฑ์ของธุรกิจธนาคารเดิม โดยปัจจุบัน SCBX มีธุรกิจในกลุ่มนี้อยู่ 14 บริษัท
หากที่ประชุมผู้ถือหุ้น SCBX สามารถขอการอนุมัติการออกหุ้นกู้ 1 แสนล้านบาทได้ จะถือเป็นการอนุมัติออกหุ้นกู้ครั้งใหญ่ของบริษัทในประเทศไทย ท่ามกลางสถานการณ์ที่บริษัทต่างๆ กำลังเร่งระดมทุนออกหุ้นกู้กันตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เพื่อล็อกต้นทุนการเงินในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น