นักมวย นักกีฬา = หมาล่าเนื้อ? ขายเลือด ขายแรง แลกเงิน มีทางออกไหม?

ข่าว ‘ยอดแชมป์ตกอับ’ จากดาวกลับสู่ดิน อดีตยอดนักชกไทยผันตัวไปขับแท็กซี่ เป็นสิ่งที่เราได้ยินจนชนชา สะท้อนปัญหานักกีฬาไทยไร้เสถียรภาพในอาชีพ

เปรียบเสมือน ‘หมาล่าเนื้อ’ ที่ยามมีแรงต้องวิ่งจนสุดใจ เพราะหมดแรงเมื่อไรเท่ากับจบชีวิตการงาน คนกลุ่มนี้เคยสร้างความภาคภูมิใจ สร้างความสุขให้กับผู้ชม แต่ชีวิตในช่วงบั้นปลายกลับไม่ค่อยมีใครสน ซึ่งหนึ่งสาเหตุใหญ่คือ ‘ความรู้ทางการเงิน’ ที่เข้าไม่ถึงพวกเขา 

ยอดมวยค่าตัวหลักแสน แต่สุดข้นแค้นในบั้นปลาย

คนทั่วไปเมื่อถูกหวย ยังเอาเงินไปเลี้ยงเพื่อน เปย์ตัวเองอย่างอิ่มหนำ ไม่จำเป็นต้องนึกถึงการเก็บเงินเพื่ออนาคต แต่กับนักมวยที่หลายคนเคยกินที่หาเช้า กินค่ำ (บางคนหาเช้า กินเที่ยงด้วยซ้ำ) เมื่ออาชีพก้าวหน้าจนได้เงินก้อนใหญ่ จากเคยค่าตัวหลักร้อยหลักพัน ดั้นด้นมาจนถึงหลักแสน ก็คงไม่ใช่ความผิดหากอยากจะใช้จ่ายสนองความต้องการตัวเองบ้าง เพื่อให้รางวัลความมุมานะของตัวเอง และให้ได้สัมผัสถึงสิ่งโก้หรูที่ครั้งหนึ่งตัวเองเคยถวิลหา

แต่สิ่งที่น่ากลัวของวงการหมัดมวย คือ ‘ไม่รู้ว่าจะเกษียณเมื่อไร’ หมายถึง อาจจะได้ชกจนอายุสามสิบกว่า ก็เริ่มจะกลายเป็น ‘มวยแก่’ ที่ฟอร์มไม่สดสู้มวยเด็ก รายการชกน้อยลง หากโชคร้าย เกิดอุบัติเหตุรุนแรง หรือมีข่าวเสียหาย ก็อาจไม่มีรายการ และจบอาชีพบนสังเวียนผ้าใบไปโดยปริยาย

แม้รายได้หลักหาย แต่ชีวิตต้องไปต่อ จากเงินหลักหมื่น หลักแสน หรือหลักล้านต่อไฟท์ อันตรธานหายไป เกิดปัญหาเงินไม่พอใช้ ต้องกู้หนี้ยืมสิน ขายแรงแลกเงิน หมดแรง ป่วย เมื่อไร ก็ไม่มีกิน

หลายคนที่โชคดีกว่านั้น ก็มักจะผันตัวมาเป็นครูสอนมวย ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ มีเงินจุนเจือครอบครัว หรือไม่เช่นนั้น ก็อาจหันเหไปยังอาชีพใช้แรงแลกเงินอื่นๆ ทิ้งความสำเร็จไว้เบื้องหลัง นอกจากนี้ นักกีฬามวยไทย หรือที่เราเรียกติดปากว่า ‘นักมวย’ ยังไม่ถือเป็นอาชีพที่มีการสนับสนุนชัดเจนเหมือนต่างชาติ คนที่เริ่มต้นเข้ามาในวงการมักมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ยากจน เมื่อเลือกอาชีพมวยแล้วหลายคนเลือกที่จะละทิ้งการศึกษา หรือมีการศึกษาเพียงขั้นพื้นฐานตลอดอาชีพนักชก จะมีบ้างที่ยังแบ่งเวลาไปเรียน ซึ่งก็ต้องบริหารจัดการเวลา จากเวลาหลักคือการซ้อมมวยราว 2 รอบต่อวัน กินเวลาไปแล้วกว่า 8 ชม./วัน

ผลลัพธ์ คือ เมื่อจบอาชีพในวงการ ก็ขาดความรู้ ขาดวุฒิการศึกษาในการประกอบอาชีพรายได้สูงๆ และที่สำคัญ ขาดความรู้และการสนับสนุนในการวางแผนทางการเงินที่ดี ที่จะมาเป็นตัวช่วยให้ชีวิตสบายขึ้นในตอนบั้นปลาย

ทำอย่างไรให้นักมวย และอาชีพนักกีฬาอื่นๆ มีกินมีใช้อย่างยั่งยืน?

ตลกร้ายที่เกิดขึ้นกับวงการกีฬา ก็คือ รายรับของนักกีฬามักมาเป็นเงินก้อนใหญ่ๆ เช่น เงินจากการชกในแต่ละครั้ง อาจมาเพียง 1 -2 ครั้งต่อเดือน (กติการะบุว่า นักมวยต้องมีเวลาพักฟื้นร่างกายไม่น้อยกว่า 21 วันก่อนจะขึ้นชกในไฟท์ถัดไป หากชนะตั้งแต่ยกแรกๆ ก็จะกำหนดเวลาพักฟื้นน้อยลง) เงินโบนัส เงินอัดฉีด ซึ่งยอดมวยหลายคนได้เป็นหลักแสน หลักล้าน ไปจนถึงหลายสิบล้าน แต่รายได้ในลักษณะนี้ต้องการความรู้ทางการเงินที่จะต้องบริหารจัดการ และระเบียบวินัยที่มากกว่าคนทั่วไป เพราะเงินก้อนใหญ่ มีโอกาสถูกใช้หมดได้เร็วกว่า

ฉะนั้น เรื่องการบริหารทางการเงิน วินัยทางการเงิน สำหรับนักมวย และนักกีฬารุ่นใหม่ได้เริ่มมีการตระหนักในเรื่องนี้กันมากขึ้น และมีบางส่วนที่เริ่มลงทุน ซื้อทอง ซื้อที่ ซื้อบ้านไว้สำหรับตัวเองและครอบครัว บางคนก็เริ่มวางแผนธุรกิจเพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง 

อย่างเช่น ‘รถถัง จิตรเมืองนนท์’ และ ‘ซุปเปอร์เล็ก เกียรติหมู่ 9’ ยอดนักชกขวัญใจชาวไทยและชาวโลกจาก One ลุมพินี เผยว่า “ตอนนี้เริ่มซื้อที่ดินเก็บไว้ และค่อยๆ เริ่มสร้างธุรกิจของตัวเองสำหรับวันที่ตัวเองหมดอายุชก โดยรถถัง วางแผนจะสร้างค่ายมวยและวิลล่าส่วนตัว เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาพักผ่อน และฝึกซ้อมมวย ด้านซุปเปอร์เล็ก ก็มีความฝันที่จะเปิดค่ายมวยเป็นของตัวเอง”

เพราะความรู้ทางการเงินสำหรับนักกีฬาเป็นเรื่องสำคัญ XSpring, ONE Championship และสนามมวยเวทีลุมพินี จึงร่วมกันเดินหน้าโครงการยกระดับคุณภาพชีวิตนักกีฬาไทย “PLAY TO WIN” Season 1 ภายใต้แคมเปญ “สังเวียนชีวิตที่แพ้ไม่ได้” เพื่อส่งต่อความรู้ให้นักมวยอาชีพ สามารถบริหารจัดการเงินที่ได้มาอย่างเป็นระบบ สร้างความมั่งคั่งและยั่งยืนตลอดอาชีพการชกมวย รวมถึงปูทางสู่การวางแผนเกษียณอย่างชาญฉลาด

นางสาววรางคณา อัครสถาพร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XSpring เปิดเผยถึงแนวคิดในการส่งต่อความรู้ความเข้าใจด้านการเงิน (Financial Literacy) ที่มีประสิทธิภาพไปสู่สังคมในวงกว้างเพื่อช่วยยกระดับการเข้าถึงเครื่องมือในการบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลอย่างเท่าเทียม ผ่านผู้เชี่ยวชาญของกลุ่ม XSpring ว่า การส่งต่อความรู้ไปยังกลุ่มนักกีฬา เพราะเป็นกลุ่มที่สามารถสร้างทั้งชื่อเสียง ความสำเร็จ และความมั่งคั่งทางการเงิน แต่พบว่าบ่อยครั้งที่ความสำเร็จเหล่านั้นมักไม่ยั่งยืน 

ดังนั้น XSpring จึงอยากเข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนอนาคตทางการเงินของกลุ่มนักกีฬาในทุกประเภทกีฬาให้ก้าวข้ามความเสี่ยงที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต ด้วยการริเริ่มโครงการ “PLAY TO WIN” ขึ้นมาเป็นครั้งแรก เพื่อให้ความรู้ด้านการเงินและการวางแผนทางการเงินแก่นักมวยและบุคลากรในวงการมวย พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมกีฬาในประเทศไทยด้วยองค์ความรู้ที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว โดยโครงการนี้จัดขึ้นจะจัดต่อเนื่องทุก ๆ ปีเพื่อขยายไปสู่ทุกประเภทกีฬา

.

แนวคิด ‘3D’ บริหารการเงินอย่างยั่งยืนสำหรับนักมวย

นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด ได้แบ่งปันหลักการบริหารเงินสำหรับนักมวยว่า เนื่องจากนักมวยและนักกีฬาหลายประเภทรับเงินเป็นก้อนใหญ่ และต้องการมีเงินไว้ใช้สำหรับตอนหลังเกษียณ จึงเหมาะกับการนำเงินไปลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความคล่องตัวสูง ให้ดอกผลสำหรับการกินใช้รายเดือน และยังรักษาเงินต้นไว้สำหรับช่วงบั้นปลาย อาจเป็นกองทุนหุ้นในและต่างประเทศ เป็นต้น 

เพราะหลายครั้งนักมวยจะชอบลงทุนในที่ดิน ซึ่งเมื่อถึงเวลาต้องใช้เงินก้อนอาจทำให้ขาดสภาพคล่อง ต้องไปหยิบยืมจากแหล่งอื่นได้

นอกจากนี้ยังฝากหลัก ‘3D’ สำหรับการลงทุนไว้ ได้แก่

Discipline - ความมีวินัย

การเป็นยอดนักกีฬาได้ การันตีเรื่องความมีวินัยอยู่แล้ว การลงทุนก็ต้องใช้วินัยเช่นกัน พึงแบ่งเงินลงทุนสม่ำเสมอ อาจใช้วิธี DCA (Dollar-Cost Averaging) ใส่เงินในจำนวนที่เท่าๆ กัน ก็จะทำให้สินทรัพย์ลงทุนเติบโตได้

Determination - ความมุ่งมั่นตั้งใจ

เช่นเดียวกับการตั้งเป้าหมายให้ไปถึงแชมป์ การมีเป้าหมายด้านการเงินไม่ว่าจะเป็นรายได้ในช่วงเกษียณสำหรับตนเองและครอบครัว การสร้างธุรกิจ หรือเป้าหมายใดๆ จะต้องใช้ความมุ่งมั่นตั้งใจ การวางแผนที่ดี เพื่อจะไปให้ถึง

Diversification - การกระจายลงทุน

นักมวยที่ดีควรจะมีอาวุธครบเครื่องทั้งหมัด เท้า เข่า ศอก ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญเพื่อให้รับมือได้ทุกสถานการณ์ การลงทุนที่ดีก็ควรที่จะกระจายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายรูปแบบ เพื่อกระจายความเสี่ยง พร้อมรับกับทุกสภาพตลาด และเป้าหมายในแต่ละระยะที่แตกต่างกัน