กนง. เตรียมคงดอกเบี้ยนโยบาย 2.25% ในการประชุม 18 ธ.ค. 2567 จับตาทิศทางปี 2568 อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มจากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 18 ธันวาคม 2567 ชี้ไปในทิศทางการ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งกนง. ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพการเงิน
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น โดยได้แรงหนุนจากฤดูกาลท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้กนง. มีโอกาสสูงที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับเดิม
สำหรับปี 2568 ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าต่อประเทศต่างๆ รวมถึงไทย และการแข่งขันในตลาดสินค้าจากจีนที่อาจกระทบต่อผู้ประกอบการไทยโดยตรง นอกจากนี้ ทิศทางเงินเฟ้อในปี 2568 ยังคาดการณ์ว่าจะทรงตัวในระดับต่ำกว่าเป้าหมายของกนง. ที่ 1-3%
นักวิเคราะห์ คาดว่า กนง.อาจพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม 2 ครั้งในปี 2568 เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในตลาดโลก
ดังนั้น การตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยในอนาคตจะขึ้นอยู่กับข้อมูลทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพทางการเงินที่ออกมาเป็นสำคัญ ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนในระดับสูง
การประชุมวันที่ 18 ธันวาคมนี้จึงเป็นอีกครั้งที่นักลงทุนและผู้ประกอบการจับตาอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของกนง. ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังเต็มไปด้วยความท้าทาย
อย่างไรก็ตาม หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้นั้น โดยไม่ปรับขึ้นหรือลง มีทั้ง ผลดี และ ผลเสีย ต่อระบบเศรษฐกิจไทย ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้น รายละเอียด คือ
1. เสถียรภาพด้านต้นทุนการเงิน : การคงดอกเบี้ยช่วยให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจและครัวเรือนมีเสถียรภาพ ซึ่งช่วยสนับสนุนการลงทุนและการบริโภคในประเทศอย่างต่อเนื่อง
2. ลดความกังวลของตลาดการเงิน : การคงดอกเบี้ยช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว
3. สนับสนุนการบริโภคและการลงทุน : ดอกเบี้ยที่คงตัวช่วยให้ประชาชนและธุรกิจสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และมีภาระดอกเบี้ยที่ไม่เพิ่มขึ้น
4. ลดแรงกดดันค่าเงินบาท : การไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งเป็นผลดีต่อภาคการส่งออก
1. สร้างเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของนักลงทุน : การคงดอกเบี้ยช่วยให้นักลงทุนมั่นใจว่า กนง. มีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ และต้องการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดหุ้นโดยรวม
2. ลดต้นทุนทางการเงินสำหรับบริษัทจดทะเบียน : เมื่อดอกเบี้ยไม่ปรับขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทต่าง ๆ ยังคงอยู่ในระดับเดิม ทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจและลงทุนต่อไปได้โดยไม่มีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยสนับสนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียน
3. สนับสนุนกลุ่มหุ้นที่อ่อนไหวต่อดอกเบี้ย : หุ้นในกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ และ ผู้บริโภค มักได้รับประโยชน์จากการคงดอกเบี้ย เพราะต้นทุนการกู้ยืมของผู้ซื้อบ้านและผู้บริโภคลดลง ซึ่งกระตุ้นความต้องการสินค้าและบริการในกลุ่มนี้
4. กระตุ้นกระแสเงินทุนในตลาดหุ้น : ดอกเบี้ยที่คงตัวในระดับต่ำอาจทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่า เช่น หุ้นปันผลดี หรือหุ้นเติบโต (Growth Stocks)
1. ลดความสามารถในการควบคุมเงินเฟ้อ : เพราะหากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น การคงดอกเบี้ยอาจทำให้ไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ส่งสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว : การคงดอกเบี้ยอาจถูกมองว่า เศรษฐกิจยังไม่มีความแข็งแรงพอที่จะรองรับการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
3. ลดโอกาสดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ : ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเลือกย้ายเงินไปยังประเทศที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า
1. ลดแรงจูงใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
• การคงดอกเบี้ยอาจทำให้ประเทศไทยมีความน่าสนใจลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจนำไปสู่การไหลออกของเงินทุนต่างชาติ
2. ชะลอความคาดหวังของนักลงทุนในเชิงบวก
• หากนักลงทุนคาดหวังว่ากนง. จะลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับคงดอกเบี้ยไว้ อาจทำให้ตลาดหุ้นตอบสนองในเชิงลบจากความผิดหวัง
3. แรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มการเงินบางประเภท
• หุ้นในกลุ่ม ธนาคาร หรือ ประกันภัย อาจได้รับผลกระทบเชิงลบ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่คงตัวหมายถึงโอกาสในการเพิ่มรายได้จากดอกเบี้ยของธนาคารลดลง
ดังนั้น การตอบสนองของตลาดหุ้นไทยขึ้นอยู่กับการตีความของนักลงทุนต่อการตัดสินใจคงดอกเบี้ย รวมถึงสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ เช่น เงินเฟ้อและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในช่วงเวลานั้น.
ดังนั้น การคงดอกเบี้ยนโยบายเหมาะสมในกรณีที่เศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและมีความไม่แน่นอนสูง แต่หากต้องการควบคุมเงินเฟ้อ หรือเสริมความน่าสนใจของการลงทุนในประเทศไทย อาจจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งนี้ กนง. ต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้าน เช่น อัตราเงินเฟ้อ การจ้างงาน การส่งออก และภาระหนี้สินของประชาชนในขณะนั้น เพื่อกำหนดนโยบายการเงินที่สมดุลที่สุด.
โดยสรุป คือ การประชุมกนง.ครั้งนี้ถือเป็นจุดสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินสำหรับปี 2568 ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก นักลงทุนและผู้ประกอบการควรติดตามสัญญาณและแนวโน้มอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว