Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
'กอดงานให้แน่น เงินสำรองอย่างต่ำ 6 เดือน' วิธีบริหารเงินยุคภาษีทรัมป์
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

'กอดงานให้แน่น เงินสำรองอย่างต่ำ 6 เดือน' วิธีบริหารเงินยุคภาษีทรัมป์

22 เม.ย. 68
14:00 น.
แชร์

ท่ามกลางสงครามภาษีและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน โลกกำลังเคลื่อนไปสู่ภาวะ “แบ่งขั้ว” อย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่ในเชิงการเมืองระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังสะท้อนผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่อเศรษฐกิจโลกและชีวิตประจำวันของผู้คน โดยเฉพาะผ่านกลไกสำคัญอย่าง การขึ้นภาษีนำเข้าและส่งออก ซึ่งนำไปสู่ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และราคาสินค้าที่ปรับตัวตามไปด้วย

แม้บางประเทศรวมถึงไทยจะไม่ได้อยู่ในแนวหน้าโดยตรงของสงครามการค้า แต่ผลกระทบทางอ้อมย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อราคาสินค้าทั่วโลกสูงขึ้น รายได้ของประชาชนจำนวนมากไม่สามารถเติบโตทันกับค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูง ส่งผลให้ความสามารถในการออมลดลง และความเสี่ยงทางการเงินของครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล

ด้วยเหตุนี้ สมาคมนักวางแผนการเงินแห่งประเทศไทย (TFPA) จึงออกมาให้คำแนะนำที่ชัดเจนว่า ถึงเวลาแล้วที่คนไทยต้องหันมาใส่ใจวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบและจริงจัง เพื่อเตรียมรับมือกับความผันผวนที่อาจลากยาวออกไปโดยไม่สามารถคาดการณ์จุดจบได้

หลักบริหารการเงิน: สร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินในวันที่โลกไม่แน่นอน

นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ระบุว่า คนไทยยังคงต้องเผชิญกับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจไปอีกระยะหนึ่ง และมีความเป็นไปได้น้อยที่จะสามารถหาข้อสรุปได้ภายในกรอบเวลา 90 วันของการเจรจา ตามที่หลายคนคาดหวังไว้

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเน้นย้ำว่า ประชาชนควรให้ความสำคัญกับการ “เก็บเงินสำรอง” และ “สร้างสภาพคล่อง” เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการรับมือหากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือเหตุไม่คาดฝัน พร้อมกันนี้ ได้เสนอแนวทางบริหารการเงินส่วนบุคคลที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที ดังต่อไปนี้

1. ปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย: ลดสิ่งฟุ่มเฟือยอย่างเด็ดขาด

นายวิโรจน์ อธิบายว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การควบคุมรายจ่ายถือเป็น "รากฐานสำคัญ" ของการบริหารการเงินส่วนบุคคลที่ยั่งยืน

ประชาชนควรเริ่มต้นด้วยการทบทวนพฤติกรรมการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างตรงไปตรงมา แยกแยะให้ชัดว่า รายจ่ายใดเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ค่าอาหาร ยารักษาโรค ค่าเดินทาง ค่าเล่าเรียน หรือค่าเช่าที่อยู่อาศัย และรายจ่ายใดเป็นเพียง “ความต้องการชั่วคราว” เช่น ของแบรนด์เนม ค่าใช้จ่ายความบันเทิง หรือการใช้จ่ายตามอารมณ์

การลดรายจ่ายไม่ใช่แค่การประหยัดเพื่อใช้เงินน้อยลง แต่เป็นการเพิ่มความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หากสามารถลดหรือเลิกพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้ จะทำให้เรามีเงินเหลือสำหรับการออมหรือเตรียมไว้เป็นเงินสำรองในยามฉุกเฉิน เช่น กรณีตกงาน เจ็บป่วย หรือมีภาระทางการเงินกะทันหัน

2. ยึดอาชีพหลักไว้ให้มั่นคง

ท่ามกลางความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน การรักษา “อาชีพหลัก” ที่มีความมั่นคง เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะถือว่าเป็นแหล่งรายได้ และเป็นหลักยึดสำคัญในวันที่ทุกอย่างไม่แน่นอน

นายวิโรจน์ ให้คำแนะนำว่า หากงานประจำที่ทำอยู่นั้นยังคงให้รายได้อย่างสม่ำเสมอ และสภาพแวดล้อมการทำงานไม่ก่อให้เกิดความเครียดหรือเป็นพิษต่อสุขภาพจิต การยึดอาชีพนั้นไว้ก่อนเป็นสิ่งที่สมควรทำ

ในช่วงเวลาที่ความไม่แน่นอนยังคงปกคลุมระบบเศรษฐกิจโลก การตัดสินใจลาออกหรือเปลี่ยนงานแบบหุนหันพลันแล่นอาจสร้างความเสี่ยงมากกว่าที่คาด

3. พัฒนาทักษะ เสริมรายได้ทางเลือก

ในภาวะเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและไม่แน่นอนเช่นทุกวันนี้ การพึ่งพารายได้หลักเพียงช่องทางเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างมั่นคงอีกต่อไป นายวิโรจน์ จึงแนะนำให้ประชาชนใช้ช่วงเวลานี้เป็น “โอกาสในการเสริมสร้างศักยภาพของตนเอง” ด้วยการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ที่สามารถต่อยอดไปสู่รายได้ทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานอิสระ (ฟรีแลนซ์) การค้าขายออนไลน์ หรือการพัฒนาทักษะเฉพาะทางในสายงานที่ทำอยู่เดิม

เขาชี้ว่า จุดมุ่งหมายสำคัญไม่ใช่แค่การมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่คือการลดความเสี่ยงจากการขาดรายได้หลัก และกระจายแหล่งรายได้ให้อยู่ในรูปแบบที่หลากหลาย ทำให้หากวันใดรายได้จากช่องทางหนึ่งหยุดลงก็ยังมีรายได้จากช่องทางอื่นช่วยพยุงไว้ได้

4. สร้างเงินสำรองฉุกเฉิน 6-12 เดือน

ในอดีต ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมักแนะนำให้มีเงินสำรองสำหรับใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินอย่างน้อย 3–6 เดือนของรายจ่ายประจำ แต่ในปัจจุบันที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่อาจคาดเดาได้ คำแนะนำเดิมนั้นอาจไม่เพียงพออีกต่อไป

นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ ชี้ว่า ขณะนี้ประชาชนควร เพิ่มระดับการเตรียมพร้อมทางการเงินให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยการกันเงินสดหรือทรัพย์สินที่เปลี่ยนเป็นเงินได้ง่าย (สภาพคล่องสูง) สำหรับครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 6–12 เดือน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เช่น การตกงานกะทันหัน เหตุภัยพิบัติหรือปัญหาสุขภาพ หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจลากยาวเป็นปี

การมีเงินสำรองฉุกเฉินที่เพียงพอ ไม่เพียงช่วยให้เรารับมือกับวิกฤตได้อย่างมั่นคงเท่านั้น แต่ยังช่วย “ลดความเครียดทางจิตใจ” และทำให้สามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตได้อย่างมีสติ ไม่เร่งรีบ หรือจำใจเลือกทางออกที่ไม่ยั่งยืนเพียงเพราะขาดสภาพคล่องในระยะสั้น

5. หนี้สิน ต้องคิดให้รอบคอบก่อนก่อ

การก่อหนี้ในบางกรณีอาจเป็นเรื่องจำเป็นและสมเหตุสมผล หากหนี้นั้นนำไปใช้กับสิ่งที่ส่งผลดีต่ออนาคต เช่น การซื้อที่อยู่อาศัย การลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ หรือการศึกษาที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ระยะยาว

อย่างไรก็ตาม นายวิโรจน์ เตือนว่า สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง คือหนี้ที่เกิดจากการบริโภคเพื่อความพึงพอใจชั่วคราว เช่น การซื้อของฟุ่มเฟือยโดยไม่ได้วางแผน หรือการก่อหนี้เพื่อรักษาระดับการใช้จ่ายที่ไม่สอดคล้องกับรายได้จริง

เพราะแม้หนี้จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายบางอย่างได้เร็วขึ้น แต่หากไม่มีการวางแผนรองรับ อาจกลายเป็นภาระที่ฉุดรั้งชีวิตในระยะยาวมากกว่าจะเป็นประโยชน์

6. กระจายความเสี่ยงผ่านประกันภัย

นายวิโรจน์ชี้ว่า อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ไม่ควรมองข้ามในการวางแผนการเงิน คือการเตรียมเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะผ่านการมีประกันที่ครอบคลุมในด้านสำคัญ ได้แก่ ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต และประกันทรัพย์สิน โดยเฉพาะในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสามารถเกิดเหตุไม่คาดฝันหรือวิกฤตต่างๆ ได้ตลอดเวลา

หลายคนอาจคิดว่าการทำประกันคือค่าใช้จ่าย แต่ในความเป็นจริง มันคือ “การโอนความเสี่ยง” ที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สิน ไปสู่ระบบที่สามารถช่วยเหลือทางการเงินได้เมื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

หากไม่มีประกันรองรับ ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่จากการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือเหตุร้ายแรงอื่น ๆ อาจกระทบต่อฐานะทางการเงินทั้งระบบ ดังนั้น การสำรวจว่าตนเองมีความคุ้มครองเพียงพอหรือยัง และเลือกทำประกันให้เหมาะสมกับความจำเป็นในแต่ละช่วงชีวิต จึงถือเป็นการวางแผนที่ชาญฉลาด และเป็นหลักประกันที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจไม่แพ้การลงทุนใด ๆ ในระยะยาว

กลยุทธ์การลงทุน: รักษาสมดุลความเสี่ยง-ผลตอบแทนในโลกที่ไม่แน่นอน

นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ระบุว่า สถานการณ์ในตลาดการเงินโลกขณะนี้ยังคงอยู่ในภาวะที่นักลงทุนจำนวนมากเลือกเข้าสู่โหมด “Risk Off” ซึ่งหมายถึงการหลีกเลี่ยงสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นหรือคริปโตเคอร์เรนซี และหันไปถือครองสินทรัพย์ที่ปลอดภัยหรือมีความผันผวนน้อยลง

สาเหตุหลักมาจาก ความไม่แน่นอนที่ปกคลุมทั้งภาวะเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความตึงเครียดระหว่างสองชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน ที่ยังคงยืดเยื้อและไม่มีท่าทีจะคลี่คลายลงในเร็ววัน

นายวิโรจน์ ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ นักลงทุนจึงจำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบและปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนไป โดยมีแนวทางหลักที่ควรพิจารณาดังต่อไปนี้

1. ทบทวนเป้าหมายทางการเงิน

นายวิโรจน์ มองว่าการลงทุนที่มีประสิทธิภาพต้องยึดโยงกับเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน นักลงทุนจึงควรเริ่มต้นด้วยการย้อนกลับมาทบทวนว่า เป้าหมายเดิมยังคงเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันหรือไม่ เช่น เป้าหมายเพื่อการเกษียณ การวางแผนการศึกษาบุตร หรือการซื้อบ้าน

หากสภาพเศรษฐกิจเปลี่ยน แผนการลงทุนก็อาจต้องปรับตาม เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและความสามารถทางการเงินในช่วงเวลานั้น

2. ประเมินระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้

ความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน แต่ความเสี่ยงที่เกินขอบเขตความอดทนของตนเอง ย่อมส่งผลเสียทั้งในแง่ของผลตอบแทนและสุขภาพจิต หากคุณเริ่มรู้สึก วิตกกังวล เครียด หรือนอนไม่หลับ เพราะความผันผวนของตลาด อาจถึงเวลาที่ต้อง “ลดระดับความเสี่ยงลง”

การลงทุนที่ดีควรทำให้คุณ “รู้สึกมั่นใจและควบคุมได้” มากกว่าทำให้เกิดความไม่สบายใจ

3. ปรับพอร์ต: ลดสินทรัพย์เสี่ยง เพิ่มสินทรัพย์ปลอดภัย

ในภาวะที่ตลาดการเงินยังคงเคลื่อนไหวอย่างผันผวน และไม่มีทิศทางที่แน่ชัด นายวิโรจน์ แนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย ถือเงินสดมากขึ้น พร้อมพิจารณาปรับลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ลงประมาณ 10–20% ของพอร์ตโดยรวม เพื่อช่วยลดแรงกระแทกจากความผันผวนของตลาด

ยกตัวอย่างเช่น หากพอร์ตเดิมมีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 50% ก็ควรปรับลดลงให้เหลือประมาณ 40% แล้วนำส่วนที่ลดลงมานั้น โยกย้ายไปยังสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและสภาพคล่องสูงกว่า ดังต่อไปนี้

  • ตราสารหนี้ภาครัฐที่มีผลตอบแทนคงที่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยควบคู่กับผลตอบแทนสม่ำเสมอ
  • หุ้นปันผล จากบริษัทใหญ่ที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง และมีประวัติการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง แม้ยังเป็นสินทรัพย์เสี่ยง แต่มีความผันผวนต่ำกว่าหุ้นเติบโต (growth stock)
  • เงินฝากประจำระยะสั้น และบัญชีเงินฝากดิจิทัล ที่ให้ดอกเบี้ยสูงและสามารถถอนเงินได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสภาพคล่องในช่วงเวลาสั้น
  • สลากออมสิน สลาก ธอส. หรือสลาก ธ.ก.ส. เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนคงที่ มีโอกาสลุ้นรางวัล และยังถอนเงินเมื่อครบกำหนดได้โดยไม่เสียผลประโยชน์

นายวิโรจน์ย้ำว่า ตราสารหนี้ของไทย โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งในช่วงนี้ เนื่องจากมีความมั่นคงสูงกว่าตราสารหนี้ต่างประเทศ ไม่มีความเสี่ยงเรื่องค่าเงินหรือความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยโลก สามารถใช้เป็นที่พักเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงที่ตลาดโลกยังไร้เสถียรภาพและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

แชร์
'กอดงานให้แน่น เงินสำรองอย่างต่ำ 6 เดือน' วิธีบริหารเงินยุคภาษีทรัมป์