รัฐบาลจีนออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ เตือนว่าจีนจะใช้มาตรการตอบโต้กับประเทศใดก็ตามที่ร่วมมือกับสหรัฐฯ ในลักษณะที่ส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของจีน ท่ามกลางความตึงเครียดที่ทวีขึ้นจากสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจ ซึ่งเริ่มส่งผลกระทบไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
คำเตือนนี้มีขึ้นขณะที่มีรายงานว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทรัมป์กำลังหารือถึงการขอให้ประเทศพันธมิตรใช้มาตรการ “ภาษีทุติยภูมิ” กับสินค้านำเข้าจากประเทศที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน ซึ่งถือเป็นรูปแบบใหม่ของการลงโทษทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังขอให้พันธมิตรหลีกเลี่ยงการรับสินค้าล้นตลาดจากจีน เพื่อจำกัดช่องทางระบายสินค้า
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ประกาศชะลอการขึ้นภาษีต่อประเทศอื่น ๆ เป็นเวลา 90 วัน แต่ยังคงเดินหน้าปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจนแตะระดับสูงถึง 145%
กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า “จีนคัดค้านข้อตกลงใดๆ ที่กระทบผลประโยชน์ของจีนอย่างเด็ดขาด หากมีข้อตกลงในลักษณะเช่นนั้น จีนจะไม่ยอมรับ และจะดำเนินมาตรการตอบโต้ที่เหมาะสมในทันที”
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนยังเตือนว่า หากระบบการค้าระหว่างประเทศต้องกลับไปสู่ “กฎแห่งป่า” ที่ไม่มีระเบียบหรือกติกากลาง โลกจะต้องเผชิญความเสี่ยงร้ายแรง พร้อมย้ำว่าจีนยินดีร่วมมือกับทุกประเทศเพื่อปกป้องความเป็นธรรมในระบบการค้าโลก และประณามสหรัฐฯ ว่าใช้นโยบาย “กลั่นแกล้งฝ่ายเดียว” และ “บิดเบือนภาษีเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง”
ในเดือนเมษายน จีนได้ยกระดับมาตรการตอบโต้ โดยขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สูงสุดถึง 125% ควบคู่ไปกับการจำกัดการส่งออกแร่ธาตุสำคัญ และขึ้นบัญชีดำบริษัทสัญชาติอเมริกันหลายแห่ง โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก ซึ่งถูกห้ามทำธุรกิจร่วมกับบริษัทจีน
แม้ความตึงเครียดจะทวีขึ้น แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังไม่คาดว่าการเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะได้ข้อยุติในเร็ววัน แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะออกมาแสดงความมั่นใจเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ข้อตกลงอาจเกิดขึ้นภายใน 3 ถึง 4 สัปดาห์
ท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐฯ จีนได้เพิ่มความพยายามสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางการทูตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เดินทางเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ซึ่งเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกในปี 2025 เพื่อนำเสนอแนวคิด “ครอบครัวเอเชีย” เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ
ในแถลงการณ์ร่วมกับผู้นำทั้งสามประเทศ สี จิ้นผิง ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการต่อต้านพฤติกรรม “กลั่นแกล้งฝ่ายเดียว” ของสหรัฐฯ และการใช้นโยบายภาษีเป็นเครื่องมือทางการเมือง พร้อมชี้ว่าภูมิภาคเอเชียควรมีบทบาทนำในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของโลก
ตั้งแต่ทรัมป์เริ่มเก็บภาษีกับจีนในวาระแรก จีนได้หันมาขยายการค้ากับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันภูมิภาคอาเซียนกลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีนเมื่อพิจารณาในภาพรวม แม้สหรัฐฯ ยังคงครองสถานะคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดเมื่อดูเป็นรายประเทศ
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ของจีนได้แต่งตั้ง “หลี่ เฉิงกัง” อดีตเอกอัครราชทูตประจำองค์การการค้าโลก (WTO) ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยและหัวหน้าคณะเจรจาการค้าระหว่างประเทศคนใหม่ โดยภารกิจสำคัญอันดับแรกของหลี่ คือการยื่นคำร้องต่อ WTO ฟ้องร้องรัฐบาลสหรัฐฯ จากการขึ้นภาษีรอบใหม่ ซึ่งจีนมองว่าเป็นการละเมิดกฎเกณฑ์ของการค้าเสรีระหว่างประเทศอย่างชัดเจน