เกาหลีโดนสินค้าจีนสอดไส้ แปะ Made in Korea ส่งอเมริกา เลี่ยงภาษีทรัมป์
ภาษีศุลกากรของทรัมป์ที่ประกาศใช้กับสินค้าจีน ล่าสุดปรับอัตราสูงลิ่วขึ้นไปที่ 245% แล้ว แน่นอนว่าผู้ผลิตสินค้าส่งออกในจีนได้รับผลกระทบเต็ม ๆ เรียกว่า “เจ็บตัว” มากที่สุดเลยก็ว่าได้ แม้ว่ารัฐบาลจีนจะพยายามหาคู่ค้าใหม่ให้สินค้าจีนมีที่ระบายออก แต่ก็ดูเหมือนว่าอาจจะไม่ทันการณ์ จนทำให้ผู้ผลิตหัวใสต้องหาทางออกเอง ด้วยการส่งสินค้าไปย้อมแมว แปะแบรนด์ใหม่เป็นของต่างชาติ เพื่อส่งไปยังสหรัฐฯ เช่นเดิม แต่ไม่ต้องเสียภาษีในฐานะสินค้าจากจีน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ล่าสุด เกาหลีใต้โดนแล้ว สำนักงานศุลกากรเกาหลีใต้ทำการสืบสวนพิเศษ เกี่ยวกับเส้นทางสินค้าจีนดังกล่าว พบการละเมิดของสินค้าจีนที่แปะแบรนด์เกาหลีใต้ เป็นมูลค่าสูงถึง 29,500 ล้านวอน หรือกว่า 690 ล้านบาท ในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยสินค้าเหล่านั้นถูกส่งไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 97% เลยทีเดียว นับว่าสูงขึ้นจากปีที่แล้วอย่างก้าวกระโดด โดยในปีที่แล้ว พบการละเมิดตลอดทั้งปีที่ 34,800 ล้านวอน หรือราว 818 ล้านบาท และส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ ที่ 62%
นายลี กวางอู ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนการสืบสวนของกรมศุลกากรเกาหลี กล่าวว่า การสอดไส้สินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ สูงกว่าที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งในวาระแรกและขึ้นภาษีกับจีนในครั้งก่อน ทางการได้ดำเนินการสืบสวนล่าสุดเพื่อป้องกันการส่งออกสินค้าผิดกฎหมายจากเกาหลีใต้ โดยคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น และพบสัญญาณของความพยายามหลีกเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ ของผู้ผลิตชาวจีนมาตั้งแต่เนิ่น ๆ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ศุลกากรของเกาหลีใต้ได้จัดการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับความพยายามในการสืบสวนร่วมกัน เนื่องจากเกาหลีใต้เกรงว่าบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทในประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนจะพยายามใช้เกาหลีใต้เป็นเส้นทางฟอกขาวสินค้าก่อนส่งไปสหรัฐฯ เนื่องจากเกาหลีใต้เป็นพันธมิตรรายใหญ่ของสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีข้อตกลงการค้าเสรีเป็นทางผ่านเพื่อหลีกเลี่ยงกฎระเบียบอันยุ่งยาก
สินค้าอะไรโดนสอดไส้บ้าง?
ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้ 25% หลังจากการเจรจาในฐานะพันธมิตรและเพิ่มดีลข้อตกลงใหม่ ๆ จนทำให้สหรัฐฯ ประกาศระงับมาตรการภาษีกับเกาหลีใต้ชั่วคราวเป็นเวลา 3 เดือน ชี้ให้เห็นว่าเกาหลีใต้ แม้จะเป็นพันธมิตรอันแนบแน่นของสหรัฐฯ ในทุกด้าน แต่ก็ยังไม่รอดมาตรการภาษีของทรัมป์ตามนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน แต่การระงับชั่วคราวก็เป็นช่องทางให้สินค้าจีนพยายามเข้ามาแทรกซึมเพื่อเลี่ยงภาษีที่หนักกว่าหลายเท่า
จากการสืบสวนพิเศษระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ พบว่า สินค้าที่ถูกนำเข้ามาสอดไส้มากที่สุดได้แก่
- แบตเตอรี่ไฟฟ้า
แบตเตอรีไฟฟ้าเป็นหนึ่งในสินค้าที่สหรัฐฯ ต้องการจากจีนเป็นจำนวนที่สูงมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจพบวัสดุแคโทดมูลค่า 3.3 พันล้านวอนที่ใช้ผลิตแบตเตอรีเหล่านี้ ถูกนำเข้ามาจากจีน ก่อนที่จะถูกแปะแบรนด์ใหม่ว่าเป็นของเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย ซึ่งถูกนำเข้ามาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ทรัมป์เพิ่งจะขึ้นตำแหน่งประธานาธิบดีและมาตรการภาษียังไม่ประกาศใช้ด้วยซ้ำ
- กล้องวงจรปิด
การสืบสวนพบว่าเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีการนำเข้ากล้องวงจรปิดมูลค่า 19,300 ล้านวอนจากจีนเป็นชิ้นส่วนและนำมาประกอบใหม่ในเกาหลีใต้เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรของทรัมป์ และกล้องวงจรปิดยังนับว่าเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่สหรัฐฯ กีดกั้นการนำเข้าจากจีน โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันการสอดแนมและเก็บข้อมูลของจีนในสหรัฐฯ ทั้งนี้ กล้องวงจรปิดที่ผลิตขึ้นมาบางส่วนถูกส่งไปยังต่างประเทศ และบางส่วนยังติดค้างอยู่ที่ท่าเรือในเกาหลีใต้
เวียดนาม เส้นทางเลี่ยงของจีนมาก่อนกาล
นับตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเริ่มขึ้นในขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ตั้งแต่สมัยแรกในปี 2018 เวียดนามก็ถูกจีนใช้เป็นเส้นทางเลี่ยงภาษีศุลกากรมาตั้งแต่ช่วงนั้นแล้ว เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกสินค้าเวียดนามไปยังสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นจนเวียดนามเกินดุลการค้าสหรัฐฯ 104,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023 เพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปี 2017 ก่อนที่สงครามการค้าจะเริ่มต้นขึ้น
เวียดนามไต่อันดับจากอันดับที่ 6 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 3 ในรายชื่อประเทศที่มีการค้าไม่สมดุลกับสหรัฐฯ มากที่สุด โดยตามหลังเพียงจีนและเม็กซิโกเท่านั้น ส่งผลให้เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่โดนภาษีสหรัฐฯ เรียกเก็บสูงขึ้นถึง 46% จัดอยู่ในกลุ่ม 5 ประเทศแรกที่ถูกเรียกเก็บภาษีแพงที่สุด ดังนั้น ถ้าจะให้จีนกลับไปพึ่งพาเวียดนามในการสอดไส้สินค้า หรือเปลี่ยนฐานการผลิตไปเป็นเวียดนาม ก็ดูจะไม่ใช่ทางออกที่ดีของจีนในยุคนี้
ปัจจุบัน เวียดนามต้องเผชิญกับการดำเนินมาตรการที่ต้องใช้ดุลยพินิจอย่างละเอียดอ่อน โดยจำต้องปราบปรามการเปลี่ยนเส้นทางการค้าของจีน เพื่อรักษาสมดุลการค้ากับสหรัฐฯ ให้ดี ผลกระทบจากการปลอมแปลงสินค้าจีนในเวียดนาม ทำให้สินค้า Made in Vietnam ที่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นของเวียดนามจริง ๆ กลับขาดความน่าเชื่อถือจากต่างประเทศ เพราะถูกมองว่าเป็นเพียงแบรนด์บังหน้าสินค้าจากจีนเท่านั้น
เวียดนามยังจำเป็นต้องดำเนินการคัดกรองการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ของจีนอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เวียดนามถูกใช้เป็นช่องทางในการหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า นอกจากนี้ ยังพยายามแก้เกมกับสหรัฐฯ โดยการเปิดทางให้สหรัฐฯ เข้ามาลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้น ในเดือนตุลาคม 2024 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อสร้างคอมเพล็กซ์มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในจังหวัดฮึงเอียน เพื่อลดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับเวียดนาม
