โป๊ป ฟรานซิส สิ้นพระชนม์ ด้วยวัย 88 พรรษา หลังประชวรปอดอักเสบ
สำนักวาติกันออกแถลงการณ์ ระบุว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิก สิ้นพระชนม์แล้วด้วยพระชนมายุ 88 พรรษา หลังทรงต่อสู้กับโรคปอดบวมรุนแรงมาตลอดหลายปี โดยเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อาการประชวรของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสอยู่ในขั้นวิกฤติ มีอาการพระวักกะ (ไต) วาย ทรงเข้ารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเจเมลลี กลางกรุงโรม อิตาลี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม พระอาการของสมเด็จพระสันตะปาปาดีขึ้นตามลำดับ แต่พระองค์ประสบภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลันถึง 2 ครั้งในวันที่ 3 มีนาคม จนเรียกได้ว่าพระอาการน่าเป็นห่วง นับตั้งแต่พระองค์เสด็จกลับจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 23 มีนาคม หลังจากรักษาตัวอยู่นานถึง 38 วัน โป๊ปฟรานซิสได้ปรากฏพระองค์ในที่สาธารณะเพียงไม่กี่ครั้ง โดยพระองค์ไม่ได้ทรงเข้าร่วมพิธีสำคัญในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (Good Friday) และคืนเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Saturday)
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่เกิน 24 ชั่วโมงก่อนสิ้นพระชนม์ ทรงปรากฏพระองค์เหนือจตุรัสเซนต์ปีเตอร์ในนครวาติกัน เพื่อประทานพรเนื่องในเทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนาคริสต์ โดยมีพระดำรัสสั้น ๆ ว่า “พี่น้องทั้งหลาย สุขสันต์วันอีสเตอร์” แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ก็สร้างความปลื้มปิติให้กับศาสนิกชนผู้ศรัทธา ซึ่งมารวมตัวกันในวันอีสเตอร์ ผู้คนต่างตะโกนตอบด้วยการถวายพระพรแด่พระองค์
ก่อนเสด็จไปยังมหาวิหาร พระองค์ได้ให้การต้อนรับเจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเดินทางมาเฉลิมฉลองเทศกาลอีสเตอร์ในกรุงโรมกับครอบครัว พระองค์ได้ประทานไข่อีสเตอร์ช็อคโกแลตขนาดใหญ่ 3 ฟองแก่ลูก ๆ ของแวนซ์ และมีการแลกเปลี่ยนคำอวยพรกันสั้น ๆ โดยแวนซ์กล่าวว่า เขาทราบว่าโป๊ปมีอาการประชวร แต่ก็รู้สึกดีใจที่เห็นพระองค์มีพระอาการที่ดีขึ้น
การเรียกร้องก่อนสิ้นพระชนม์
สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิส ไม่ได้เป็นประธานในพิธีมิสซาของวาติกันในวันอีสเตอร์ แต่ในช่วงท้ายของพิธีมิสซานั้น “สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิส” ได้เสด็จมา ณ ระเบียงหลักของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เพื่ออวยพรและประทานข้อเรียกร้องของพระองค์ ให้มีการหยุดยิงในกาซาทันที เนื่องจากสถานการณ์ในฉนวนกาซาทั้งน่าสะเทือนใจและน่าเวทนา และยังเรียกร้องให้กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันที่เหลืออยู่ทั้งหมด และยังทรงประณามแนวโน้มเรื่องการต่อต้านชาวยิวทั่วโลกอีกด้วย
ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ก่อนที่พระอาการประชวรจะทรุดหนัก สมเด็จพระสันตะปาปาทรงวิจารณ์แผนการขับไล่ผู้อพยพของสหรัฐฯ ระบุว่าหากทรัมป์ดำเนินการตามแผนดังกล่าวแล้ว จะเป็นการสร้างความอัปยศ ซึ่งนับเป็นการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงที่ผิดปกติ และผู้ที่ดำรงตำแหน่งประมุขศาสนจักรคาทอลิกจะไม่ค่อยวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเท่าไรนัก
