หลังสำนักวาติกันออกแถลงการณ์ระบุว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส สิ้นพระชนม์แล้วเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 ขณะมีพระชนมายุ 88 พรรษา คริสตศาสนิกชนในนิกายคาทอลิกทั่วโลกต่างแสดงความโศกเศร้าต่อการจากไปของผู้นำคริสตจักร
วันที่ 21 เมษายนเป็นวันจันทร์อีสเตอร์ (Easter Monday) หนึ่งในวันที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในรอบปีสำหรับชาวคริสต์นิกายโนมันคาทอลิก วันอีสเตอร์เป็นเทศกาลรำลึกถึงการที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนพระชนม์ (Resurrection of Jesus) การที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสสิ้นพระชนม์ในวันนี้ หลายคนจึงมองว่าเป็นการลิขิตจากพระเจ้า
“พระองค์ทรงเลือกวันที่งดงามที่สุดประทานแด่คริสตจักร พระองค์ไม่อาจเลือกวันใดที่ดีไปกว่าวันนี้ได้อีกแล้ว” บาทหลวงเซรฆิโอ โกเดรา คณะเซเลเซียน จากสเปนกล่าว “วันอีสเตอร์เป็นโอกาสสำคัญที่สุดที่ชาวคริสเตียนมาฉลองร่วมกัน ฉลองว่าความตายไม่ใช่จุดจบสุดท้าย และวันนี้เองที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกให้พระสันตะปาปาฟรานซิสได้พบพระองค์”
ขณะเดียวกันระฆังโบสถ์ทุกใบในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ส่งเสียงร้องดัง ขณะชาวคริสต์ในเมืองหลวงของฟิลิปปินส์มารวมตัวกันเพื่อสวดมนต์เนื่องในการจากไปของโป๊ปฟรานซิส ประชากรราว 85% ของประเทศฟิลิปปินส์นับถือคริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ทำให้ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีชาวคาทอลิกอยู่มากที่สุดในเอเชีย
“เป็นอะไรที่ส่งผลต่อศาสนจักรมาก เพราะสำหรับคนรุ่นใหม่อย่างเรา เขาเป็นแบบอย่างให้เรา เป็นแบบอย่างที่เราเดินรอยตาม เพราะพระองค์คือผู้แทนของพระคริสต์เจ้า” จูด อะควิโน ผู้อุปสมบทผู้ช่วยพิธีมิสซากล่าวกับสำนักข่าว Reuters
ที่เมืองบูคาวู ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกบฏทางตะวันออกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ชาวคริสต์ นิกายคาทอลิกได้รวมตัวกันที่มหาวิหารน็อทร์-ดาม เดอ ลา แป (Notre-Dame de la Paix) เพื่อร่วมไว้อาลัยแด่การจากไปของโป๊ปฟรานซิส
ประชากรราวครึ่งหนึ่งของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกนับถือนิกายคาทอลิก ทำให้ประเทศเป็นหนึ่งในชุมชาวคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา โป๊บฟรานซิสเสด็จเยือนคองโกในปี 2023 เป็นการเสด็จเยือนประเทศที่กำลังเผชิญความขัดแย้งเป็นครั้งแรกของพระสันตะปาปาในรอบ 3 ทศวรรษ และก่อนสิ้นพระชนม์ไม่นาน พระองค์ยังกล่าวเรียกร้องขอให้จบความขัดแย้งในคองโกอีกด้วย
“โป๊ปฟรานซิสคือโป๊ปผู้รักประเทศคองโกของเรามาก [...] พระองค์เดินทางมาเยือนประเทศของเราแม้ว่าจะทรงมีพระอาการป่วย เพื่อมาเยี่ยมชาวคองโกและรับรู้ความยากลำบากของเรา [...] ฉันได้เห็นพระองค์เมื่อครั้งมาเยือนคองโก ขอพระเจ้าอวยพรให้ดวงวิญญาณของพระสันตะปาปา เพราะโป๊ปห่วงใยเราจากใจจริง” แอลเบอร์ทีนา หนึ่งในผู้มาร่วมสวดมนต์กล่าวหน้ามหาวิหาร
ที่กรุงรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิลล ประธานาธิบดีบราซิล ลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา ประกาศไว้อาลัย 7 วันแด่การจากไปของพระสันตะปาปาฟรานซิส และกล่าวในแถลงการแสดงการไว้อาลัยว่า
“วันนี้มนุษยชาติสูญเสียเสียงแห่งการเคาระและการยอมรับในผู้อื่นไป [...] ขอพระเจ้าปลอบประโลมผู้ต้องทุกข์ทนต่อการสูญเสียครั้งใหญ่นี้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในโลก เพื่อรำลึกถึงพระสันตะปาปาและพระราชกิจของพระองค์ ผมขอประกาศไว้อาลัยเป็นเวลา 7 วันในบราซิล”
บราซิลเป็นประเทศที่มีผู้นับถือนิกายคาทอลิกมากที่สุดโลก มีชาวคริสเตียนมากถึง 123 ล้านคน หรือราว 64.6% ของประชากร
“ผมว่าพระองค์เป็นคนที่ไม่เหมือนใครและมีความพิเศษมากๆ ในช่วงโควิดระบาด ในฐานะบาทหลวง พระองค์ตื่นขึ้นมาสวดมนต์แด่โลกของเราทุกวัน.. และยังสิ้นพระชนม์ในวันที่งดงามมาก [วันอีสเตอร์] ช่างเหมาะสมกับพระองค์เหลือเกิน” โรซาเน ริเบียโร ผู้มาแสดงความไว้อาลัยที่โบสถ์แม่พระลูร์ดแห่งนครรีโอเดจาเนโรกล่าว
แม้ว่าจะมีอาการป่วยเรื้อรัง อย่าง อาการปอดบวม พระวักกะ (ไต) วาย และมีอาการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน 2 ครั้งเมื่อวันที่ 3 มีนาคม เป็นเหตุให้โป๊ปฟรานซิสไม่ได้ทรงเข้าร่วมพิธีศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (Good Friday) และคืนเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Saturday) แต่พระอาการของโป๊ปฟรานซิสปรากฎว่าดีขึ้นตามลำดับ
ตลอดระยะเวลาสองอาทิตย์สุดท้ายก่อนสิ้นพระชนม์ พระสันตะปาปฟรานซิสยังคงทำพระราชกิจอย่างเช่นปกติ คือ การรับรองผู้มาเยือนไม่ว่าจะมาจากสาขาอาชีพไหน
ก่อนหน้าการปรากฎตัวครั้งสุดท้ายที่จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 21 เมษายน พระองค์ได้ให้การต้อนรับเจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และครอบครัว ขณะเดินทางมาเฉลิมฉลองเทศกาลอีสเตอร์ที่กรุงโรม พระสันตะปาปาได้ประธานไข่อีสเตอร์ 3 ฟองแก่ลูกๆ ของแวนซ์ และแลกเปลี่ยนคำอวยพรให้กันและกัน
เพียงหนึ่งวันก่อนหน้า เมื่อช่วงค่ำของวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน (Easter Monday) พระสันตะปาปาฟรานซิสได้สนทนา “แลกเปลี่ยนความเห็น” กับแวนซ์เกี่ยวกับความขัดแย้งนานาชาติและการอพยพ ที่บ้านพักของพระสันตาปาปา โดมุส ซานตามาร์ตา ในนครวาติกัน
โป๊ปฟรานซิส พระสันตะปาปาเชื้อสายละตินอเมริกัน (อาร์เนตินา) คนแรกแห่งคริสตจักรคาทอลิก แสดงจุดยืนเห็นต่างกับนโยบายเนรเทศผู้อพยพของโดนัลด์ ทรัมป์มาตลอด
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา โป๊ปฟรานซิสทรงปรากฎพระองค์โดยไม่แจ้งล่วงหน้าเหนือจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ประทานพรแก่ผู้คนกว่า 35,000 คนที่มาร่วมฉลองเทศกาลอีสเตอร์ที่วาติกัน พระองค์ทรงปรากฎตัวโดยไม่ใส่เครื่องช่วยหายใจ แม้ว่าแพทย์ประจำพระองค์จะแนะนำให้พักฟื้นเป็นเวลา 2 เดือน หลังรักษาพระองค์ในโรงพยาบาลนาน 38 วันจากอาการปอดอักเสบ และเสด็จออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568
โป๊บฟรานซิสให้พรแก่ผู้มาเฉลิมฉลองท่ามการเสียงร้องแสดงความดีใจที่ได้เห็นผู้นำคริสจักร “พี่น้องทั้งหลาย สุขสันต์วันอีสเตอร์” พระสันตะปาปากล่าว และเป็นคำกล่าวครั้งสุดท้ายต่อหน้าสาธารณะชนของพระองค์