รถยนต์ไฟฟ้า(EV)กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ด้วยความที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและอาจช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายหากเทียบกับค่าน้ำมัน รวมถึงการซ่อมบำรุง รถ EV ได้กลายเป็นตัวเลือกสำหรับผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ หลายฝ่ายมีความคาดหวังว่า รถ EV จะสามารถเข้ามาแทนที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ในอนาคต
จากข้อมูลของ bloomberg ได้รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า EV เพิ่มขึ้นทั่วโลกมากกว่า 60% ในปี 2565 รวมทั้งในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งแต่เดิมเป็นตลาดเล็กๆ สำหรับรถยนต์ EV แต่เวลานี้ยอดขาย เพิ่มขึ้นมากกว่า 200% ตัวอย่างเช่น ในประเทศญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 100% และ จีนเพิ่มขึ้น เกือบ 100% ขณะที่ออสเตรเลียเพิ่มขึ้น 90% ส่วนในพื้นที่ สหรัฐฯ เพิ่ม 50% และ ในทวีป ยุโรป เพิ่มขึ้น 17% SPOTLIGHT พามาสำรวจดูสถานการณ์ตลาดรถ EV ของโลกว่า ค่ายยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันเป็นอย่างไรกันบ้าง
Tesla คือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันที่ก่อตั้งโดย อีลอน มัสก์ ในปี 2003 ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่ายกว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่ในตลาดในขณะนั้น
ในช่วงแรก Tesla ประสบปัญหามากมาย ทั้งปัญหาด้านการเงินและเทคโนโลยี จนกระทั่งในปี 2008 Tesla ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Roadster ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยตลอดการผลิตสามารถจำหน่ายได้มากกว่า 2,000 คันทั่วโลก (ปัจจุบันรุ่นนี้ยุติการผลิตแล้ว) ณ.ความสำเร็จของ Roadster ช่วยให้ Tesla มีเงินทุนเพียงพอที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่อไป ซึ่งก็คือ Model S เป็นรถยนต์ไฟฟ้าซีดานที่เปิดตัวในปี 2012 Model S ได้รับการยกย่องว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุดในโลกในขณะนั้น ด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
Tesla ถือว่าเป็นบริษัทแรกที่เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระยะทางไกล ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่นๆ ในขณะนั้น เช่น Tesla Model S มีระยะทางไกลสูงสุด 468 ไมล์ (750 กิโลเมตร) ซึ่งมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในตลาด นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีการชาร์จที่รวดเร็วอย่าง Tesla Supercharger สามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ Tesla ได้ถึง 80% ภายในเวลาประมาณ 30 นาที
รวมทั้ง Tesla ยังเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ จากการเปิดตัวระบบ Autopilot ซึ่งเป็นระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบอัตโนมัติที่ช่วยให้รถยนต์ Tesla สามารถขับขี่ได้เองโดยอัตโนมัติในบางสถานการณ์ และในเวลานี้ Tesla มีรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ได้แก่ Model S, Model X, Model Y และ Model 3 Model S เป็นรถยนต์ไฟฟ้าซีดานที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุดในโลกในขณะนั้น Model 3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก จนกลายเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าของโลก โดยบริษัทมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีและ ในปี 2022 Tesla มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมากกว่า 1.3 ล้านคัน
จากความสำเร็จที่ล้นหลามทำให้บริษัท Tesla มีมูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ 834.72 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าตลาดเคยขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 1.23 หมื่นล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 11/06/2564 ทำให้เวลานี้ Tesla คือเบอร์ 1 ด้านตลาดผู้ผลิตเฉพาะรถยนต์ EV และเป็นอันดับ 8 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก สำหรับ รายได้คาดการณ์ในปี 2566 จะอยู่ที่ 94.02 พันล้านดอลลาร์ สำหรับราคาหุ้นของ Tesla ในปัจจุบันอยู่ที่ $ 262.99 USD ณ วันที่ 10/12/2566
ปัจจุบัน Tesla มีโรงงานผลิต 4 แห่ง ได้แก่ที่ สหรัฐอเมริกา 2 แห่ง ที่เซี่ยงไฮ้ 1 แห่ง และ นอกเมืองเบอร์ลินที่ประเทศเยอรมนีอีก 1 แห่ง นอกจากนี้ Tesla ยังมีแผนที่จะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก เช่น เยอรมนี อินเดีย และออสเตรเลีย
รู้หรือไม่…นอกจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว Tesla ยังดำเนินธุรกิจด้านพลังงานทดแทนอีกด้วย โดยบริษัทผลิตแผงโซลาร์เซลล์และเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ตั้งแต่ มกรารคม - สิงหาคม 2566 รถยนต์ Tesla Model Y เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดขายไปปได้ 772,364 คัน
BYD หรือ "Build Your Dreams" เป็นบริษัทสัญชาติจีนที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 โดย หวัง ชวนฟู ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด BYD เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทผลิตแบตเตอรี่ ก่อนจะขยายธุรกิจไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถบัสไฟฟ้า
จุดเริ่มต้น BYD
บริษัทเริ่มต้นจากธุรกิจการผลิตแบตเตอรี่และผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน ต่อมาได้ขยายไปสู่การผลิตสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และแล็ปท็อปให้กับแบรนด์ต่างๆ เช่น Apple, Dell, Samsung, Toshiba, Motorola และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี BYD สามารถครองส่วนแบ่งมากกว่า 50% ในตลาดผู้ผลิตแบตเตอรี่มือถือ อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตถ่านชาร์จรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
ด้วยความสำเร็จในการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ BYD ได้เริ่มรุกเข้าสู่ธุรกิจยานยนต์ในปี 2545 โดยได้ไปซื้อบริษัทรถยนต์ Tsinchuan Automobile เข้ามาเป็นบริษัทลูก แล้วทำการเปลี่ยนชื่อเป็น BYD Auto สำหรับช่วงแรก BYD Auto ยังเน้นผลิต รถยนต์ที่ใช้น้ำมันอยู่ มีลักษณ์รถยนต์เน้นไปที่รูปทรงเหมือนรถยนต์แบรนด์จากญี่ปุ่นและยุโรป
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือจุดเปลี่ยน
ในปี 2551 BYD Auto ได้สร้าง นวัตกรรม รถพลังไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด PHEV ( รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินที่ใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกับเครื่องยนต์) คันแรกของโลกได้ รุ่น BYD Auto's F3DM PHEV-60 hatchback
นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรม แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ ( Rechargeable Batteries ) : แบตเตอรี่ชาร์จใหม่โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมไอรอนฟอสเฟต (LiFePO4) แบตเตอรี่ที่ใช้งานอย่างแพร่หลายในรถยนต์ไฟฟ้าและระบบจัดเก็บพลังงาน
จากความชำนาญที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่มาอย่างยาวนานจนต่อยอดพัฒนา จนได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ลงทุนเป็นจำนวนมาก จุดเปลี่ยนสำคัญคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังของโลก ให้ความสนใจและเข้ามาลงทุนในบริษัท BYD โดยลงทุนผ่านทาง Berkshire Hathaway ถือหุ้นจำนวน 225,000,000 หุ้น ด้วยมูลค่า 232 ล้านดอลลาร์
จากรายงานตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า BYD ปี 2565 มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงถึง 913,052 คัน มีส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้ามากถึง 12.6 เปอร์เซ็นต์ หลายๆฝ่านคาดว่า BYD มีศักยภาพที่จะสามารถแซงหน้า Tesla ได้
รุ่น รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดของ BYD
เตรียมท้าชิง ตำแหน่งผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
ในเวลานี้ บริษัท BYD มีมูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ 94.98 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าตลาดเคยขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 137.85 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 25/06/2565 มีรายได้อยู่ที่ 75.89 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เวลานี้ BYD คือเบอร์ 2 ด้านตลาดผู้ผลิตเฉพาะรถยนต์ EV และเป็นอันดับ 145 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก สำหรับราคาหุ้นของ BYD ในปัจจุบันอยู่ที่ $ 33.44 USD ณ วันที่ 10/12/2566
ปัจจุบัน BYD มีโรงงานผลิต 11 แห่ง ตั้งอยู่ในประเทศจีน 11 แห่ง และขณะนี้ทาง BYD กำลังสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ EV ในต่างประเทศแห่งแรกที่ประเทศไทย โดยเป้าหมายมีกำลังการผลิต 150,000 คันต่อปี ตั้งแต่ปี 2567 นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่านอกเหนือจากไทย และเวียดนามแล้ว BYD กำลังพิจารณาฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียสำหรับโรงงานแห่งใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจุบัน BYD ได้รับการยอมรับระดับนานาชาติสำหรับความสามารถในการสร้างสรรค์รถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีสร้างพลังงานสะอาด เป็นผู้นำในการพัฒนาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งไฟฟ้า และได้รับความสนใจเนื่องจากเทคโนโลยีนวัตกรรมของตน
Li Auto
Li Auto ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2558 โดย Li Xiang ผู้ก่อตั้งและประธานของบริษัท ตั้งอยู่ในเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนได้ Li Auto มีเป้าหมายที่จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูงและราคาที่เข้าถึงได้
จุดเริ่มต้น Li Auto
จุดเริ่มต้นของ Li Auto นั้นมาจากการที่ Li Xiang ทำงานเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ในบริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งในประเทศจีน เขาได้เห็นการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีน และเชื่อว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงานและก่อตั้ง Li Auto ขึ้นในปี 2558 โดยบริษัทมุ่งเน้นไปที่ EREV SUV ระดับพรีเมี่ยมสำหรับตลาดจีน เป็นหลัก
เริ่มต้นนำเสนอ รถยนต์แบบ EREV และเน้นความ พรีเมี่ยม เป็นหลัก
Li Auto เริ่มต้นนำเสนอรถยนต์แบบ EREV ย่อมาจาก “Extended Range Electric Vehicle” ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด (Electric Vehicle – EV) มาพร้อมระบบเครื่องยนต์สำรองใช้น้ำมันหรือเชื้อเพลิงอื่น นอกจากไฟฟ้าในการสร้างพลังงานขับเคลื่อน โดยระบบนี้ช่วยเพิ่มระยะทางการขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้าและลดปัญหาของข้อจำกัดในการเติมพลังงานของรถไฟฟ้าทั่วไป (EV) ที่มีข้อจำกัดในระยะทางที่สามารถขับได้ก่อนจะต้องชาร์จใหม่. ทำให้ระยะการขับขี่ที่ไกลกว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ล้วน ไม่ต้องกังวลเรื่องระยะการขับขี่เมื่อแบตเตอรี่หมด นอกจากนี้ยังเน้นความพรีเมี่ยมเป็นหลัก โดยรถยนต์รุ่น Li One และ Li L9 ของ Li Auto ได้รับการออกแบบและผลิตโดยใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูง ส่งผลให้รถยนต์ของ Li Auto มีสมรรถนะที่ดีและมีความทนทาน แต่ราคาเข้าถึงได้ง่าย
รุ่น รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดของ Li Auto
ขอส่วนแบ่งในตลาดรถพรีเมี่ยมเป็นหลัก
Li Auto กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของจีน ปัจจุบัน Li Auto ส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสแรกไป 31,716 คัน เพิ่มขึ้น 152.1% ในเวลานี้ บริษัท Li Auto มีมูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ 35.49 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าตลาดเคยขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 45.37 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 25/06/2565 มีรายได้อยู่ที่ 10.55 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เวลานี้ Li Auto คือเบอร์ 3 ด้านตลาดผู้ผลิตเฉพาะรถยนต์ EV และเป็นอันดับ 487 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก สำหรับราคาหุ้นของ Li Auto ในปัจจุบันอยู่ที่ $ 35.42 USD ณ วันที่ 10/12/2566
ปัจจุบัน Li Auto มีโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ 2 แห่งในประเทศจีน นอกจากนี้ Li Auto ยังมีแผนที่จะก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งใหม่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ โรงงานแห่งนี้มีกำหนดเริ่มดำเนินการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2568
VinFast
VinFast Auto (หรือ VinFast) เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเวียดนาม ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 โดย ฝ่าม เญิ้ต เวือง (Pham Nhat Vuong) วัย 54 ปี มหาเศรษฐีและนักธุรกิจที่รวยที่สุดในเวียดนาม ผู้ก่อตั้ง วินน์ กรุ๊ป Vingroup ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม VinFast มีเป้าหมายที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูงและราคาที่จับต้องได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในเวียดนามและต่างประเทศ
จุดเริ่มต้น VinFast
VinFast ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2560 โดยบริษัทแม่คือ VinGroup ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของเวียดนาม VinFast เริ่มต้นด้วยการผลิตรถยนต์สันดาป โดยมีความช่วยเหลือด้านการผลิตและออกแบบจาก 3 ค่ายรถยนต์สัญชาติยุโรป ได้แก่ Pininfarina, BMW และ Magna Steyr ในปี 2561 VinFast ได้เปิดตัวรถยนต์สันดาป 2 รุ่นแรก ได้แก่ LUX A2.0 และ LUX SA2.0 ซึ่งใช้ต้นแบบจาก BMW 5 Series F10 และ BMW X5 F15 จนในปี 2564 VinFast ได้เปิดตัวรถยนต์ EVของตัวเองรุ่นแรกชื่อ VF e34 จำหน่ายในเวียดนามเป็นที่แรก
แตกต่างด้วย โมเดลการให้เช่าแบตเตอรี่
VinFast ใช้โมเดลธุรกิจที่เรียกว่า Battery Subscription ซึ่งผู้ใช้สามารถเช่าแบตเตอรี่จาก VinFast ได้แทนการซื้อ โดยค่าใช้จ่ายรายเดือนนี้ ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตั้งแต่ หลักร้อยถึงหลักพัน บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และจำนวนแบตเตอรี่ ที่ต้องการเปลี่ยน นอกจากนี้ยัง มีราคาที่เข้าถึงได้ง่าย VinFast มีราคารถยนต์ที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ ในตลาด ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น
VinFast ขยายตลาดยุโรปและอเมริกา เจอปัญหาเพียบ
VinFastเดินหน้าขยายตลาดสู่ยุโรปและอเมริกา โดยเปิดตัว VF-8 และ VF-9 สองรุ่น SUV ไฟฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้มีแนวโน้มที่จะขายดีมากในตลาดที่นิยมรถใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม VinFast เจอปัญหามากมายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพรถ การ recall รถ การขาดทุนของบริษัทแม่ รวมถึงปัญหาการประกอบรถที่ไม่ดีในอเมริกา
รุ่น รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดของ VinFas
รุ่นที่จำหน่ายในเวียดนาม
รุ่นที่จำหน่ายในต่างประเทศ
จดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq
แม้จะอยู่ในสถานภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ตลาดอเมริกา แต่ทางบริษัทก็มีความต้องการที่จะขยายตลาด และหนึ่งในนั้นคือจดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงถึง 68% ปิดที่ราคา 37.06 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งส่งผลให้มูลค่าบริษัทแตะระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาท สูงกว่ามูลค่าตลาดของ Ford และ General Motors ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน
แต่ในเวลานี้ราคาหุ้นของ VinFast ตกลง ส่วนหนึ่งมาจากกระแสความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า VinFast ที่ลดลงรวมถึงความคาดหวังของนักลงทุนที่ว่า VinFast อาจไม่สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้ในเวลานี้ บริษัท VinFast มีมูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ 18.93 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าตลาดเคยขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 159.7 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 26/08/2565 ทำให้เวลานี้ VinFast คือเบอร์ 4 ด้านตลาดผู้ผลิตเฉพาะรถยนต์ EV และเป็นอันดับ 487 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก สำหรับราคาหุ้นของ VinFast ในปัจจุบันอยู่ที่ $ 8.12 USD ณ วันที่ 10/12/2566
ปัจจุบัน VinFast มีสำนักงานในสหรัฐฯ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ เน้นจุดแข็งด้านราคาที่ต่ำกว่าจากความได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงานที่ผลิตจากเวียนดาม
Rivian
บริษัท Rivian เป็นสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2552 โดย อาร์ เจ สแคริง ผู้ก่อตั้งจาก นักศึกษาจากมหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT ในด้านวิศวกรรมเครื่องกล ที่มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าจนสามารถหาแนวทางของตัวเอง จนเกิดเป็น รถกระบะไฟฟ้ารายแรก และยังมีสัญญาผลิตรถตู้ส่งของไฟฟ้าให้กับ Amazon หลายแสนคัน
จุดเริ่มต้น Rivian
เส้นทางของ Rivian ไม่ได้มาง่ายๆ เนื่องจากในช่วงก่อตั้งบริษัทต้องเผชิญกับความยากลำบากจากการขาดแคลนเงินทุน และการขาดประสบการณ์ในการผลิตรถยนต์ รวมไปจนถึงการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้า ที่ดุเดือด จากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Tesla แต่ถึงอย่างนั้นทาง Rivian ก็ไม่เคยย่อท้อ ทีมผู้บริหารและพนักงานทุกคนต่างทุ่มเททำงานอย่างหนัก เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จนในที่สุด ความสำเร็จก็มาถึง Rivian สามารถผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าได้สำเร็จ และได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก
รถเก๋งไม่ รถกระบะใช่
อาร์ เจ สแคริง ผู้ก่อตั้งจาก เริ่มต้นอยากจะทำ รถสปอร์ตไฟฟ้า มากกว่าแต่พอมองภาพรวมตลาดในเวลานั้น ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะเน้นไปที่รถเก๋งมากกว่า ทำให้เขาจึงเบนเข็มมาพัฒนารถกระบะและรถ SUV ไฟฟ้าแทน
นวัตกรรมเด่นๆของ Rivian คือ การพัฒนาช่วงโครงช่วงล่างของรถยนต์ ที่เรียกว่า Skateboard Platform ซึ่งเป็นแนวคิดทำให้ รถมีศูนย์ถ่วงที่ต่ำ และนำมอเตอร์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่ และแผงควบคุมต่าง ๆ ติดตั้งไว้ด้านล่างของตัวรถ ทำให้ตอบโจทย์รถกระบะ Off-Road หรือ SUV ที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ
ทำให้การขับขี่สนุก และเหมาะกับการขับเคลื่อนสี่ล้อ เหมาะกับรถยนต์ประเภท Off-Road อย่างรถกระบะและ SUV นอกจากนี้ยังทำให้การออกแบบทำได้อิสระมากขึ้น โดย Skateboard Platform นี้มีจุดเด่นๆอย่าง การ รองรับการติดตั้งมอเตอร์ได้สูงสุด 4 ตัว มีใช้ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมแยกอิสระ ตัวรถมีการติดตั้งทั้งระบบจัดการแบตเตอรี่อัจฉริยะ ระบบควบคุมไฮดรอลิกช่วงล่าง และระบบระบายความร้อน ที่ยอดเยี่ยม
Amazon,Ford ยังต้องเหลียวมอง
ในปี 2560 Rivian ได้รับเงินทุนก้อนใหญ่จากนักลงทุนรายใหญ่ 3 ราย ได้แก่ Abdul Latif Jameel, Sumitomo Corp และ Standard Chartered ด้วยเงินทุนก้อนนี้ Rivian สามารถสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกในอีสต์วอเตอร์ฟอร์ด รัฐมิชิแกน และเริ่มผลิตรถกระบะไฟฟ้าต้นแบบ R1T ในปี 2561
R1T เป็นรถกระบะไฟฟ้าที่โดดเด่นด้วยความสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 644 กิโลเมตร มอเตอร์แบบสี่ตัว ขับเคลื่อนสี่ล้อ สามารถเร่งความเร็ว 0-96 กม./ชม. ใน 3 วินาที ในเดือนกรกฎาคม 2562 Rivian ได้ประกาศเปิดจองรถกระบะ R1T และ SUV R1S รุ่นผลิตจริง ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าจำนวนมากและส่งมอบออกจำหน่ายในปี 2564
หลังจากประสบความสําเร็จในการเปิดจองรถกระบะ R1T และ SUV R1S ในปี 2562 Rivian Amazon ได้มองศักยภาพสนับสนุนเงินทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วย Ford อีก 500 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมี เว็บขายรถชื่อดังของอเมริกาอย่าง Cox Automotive อีก 350 ดอลลาร์ และ เงินทุนก้อนใหญ่อีก 1,300 ล้านดอลลาร์ จาก T. Rowe Price Associates บริษัทที่เคยลงทุนกับ Tesla มาแล้ว
รุ่น รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดของ Rivian
สตาร์ทอัพก็ประสบความสำเร็จได้
ในปี 2564 Rivian เริ่มส่งมอบรถกระบะ R1T ให้กับลูกค้า และเริ่มผลิตรถ SUV R1S ในปี 2565 ความสำเร็จของ Rivian แสดงให้เห็นว่าสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าสามารถประสบความสำเร็จได้ แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทำให้ในเวลานี้ บริษัท Rivian มีมูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ 18.70 พันล้านดอลลาร์ และมูลค่าตลาดเคยขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 127.28 พันล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 13/11/2564 มีรายได้อยู่ที่ 2.98 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เวลานี้ Rivian คือเบอร์ 5 ด้าน ตลาดผู้ผลิตเฉพาะรถยนต์ EV และเป็นอันดับ 889 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก สำหรับราคาหุ้นของ Rivian ในปัจจุบันอยู่ที่ $ 19.73 USD ณ วันที่ 10/12/2566
ปัจจุบัน Rivian สำนักงานใหญ่ อยู่ที่เมืองเออร์ไวน์ รัฐแคลิฟอร์เนีย โรงงานผลิต ตั้งอยู่ที่เมืองนอร์มัล รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีการร่วมลงทุนกับ Mercedes-Benz เพื่อร่วมลงทุนในการผลิตรถตู้ไฟฟ้าในยุโรป เนื่องจาก Amazon ทำการสั่งซื้อรถตู้ส่งของไฟฟ้าจาก Rivian จำนวนมากถึง 100,000 คัน ซึ่งถือเป็นสัญญาที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การที่ Rivian สามารถผลิตรถตู้ส่งของไฟฟ้าให้กับ Amazon ได้สำเร็จ จะช่วยเพิ่มยอดขายและรายได้ของบริษัทได้อย่างมาก
อ้างอิงข้อมูลจาก bloomberg , companiesmarketcap Tesla, BYD, Li Auto, Rivian, VinFast Auto