บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ผู้ผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง และบรรจุกระป๋อง และธุรกิจอาหารสำเร็จรูปและอาหารว่างครบวงจร ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 4/2566 และปี 2566 พบว่า
ผลประกอบการไตรมาส 4/2566:
- ยอดขาย 35,529 ล้านบาท เติบโต 4.8% จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง แต่ลดลงจากปีก่อน 10.3% จากยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์ที่ลดลง -17% และอาหารแช่แข็ง ลดลง -13.3% และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป
- กำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานปกติ 1,243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากไตรมาสก่อน
- อัตรากำไรขั้นต้น 17.8% จาก 17.3% ไตรมาสเดียวกันปีก่อน
- กระแสเงินสด 2,842 ล้านบาท
- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.78 เท่า
- จ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลัง 0.24 บาทต่อหุ้น ทำให้ทั้งปีจ่ายเงินปันผล 0.54 บาท/หุ้น
ผลประกอบการปี 2566:
- ยอดขาย 136,153 ล้านบาท ลดลง 12.5% จากปีก่อน ผลจากปีก่อน อัตราการเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์เนื่องจากการขนส่งทั่วโลกที่กลับสู่ภาวะปกติทำให้ลูกค้าไม่มีความจำเป็นต้องกักตุนสินค้า
- กำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานปกติ 4,499 ล้านบาท ลดลง 37.0%
- บันทึกรายการด้อยค่า 18,433 ล้านบาท จากแผนถอนการลงทุนในเรด ล็อบสเตอร์
- ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้อย่างเป็นเอกฉันท์เรื่องการผ่อนผันหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและเงินปันผล
- ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตบริษัทฯ ในระดับ A+
สำหรับสัดส่วนยอดขายแบ่งเป็นรายกลุ่มธุรกิจปี 2566 ประกอบด้วย
- กลุ่มอาหารกระป๋อง 47%
- อาหารสัตว์เลี้ยง 11%
- กลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มและธุรกิจอื่น ๆ 7%
สัดส่วนยอดขายตามภูมิภาค แบ่งเป็น
- สหรัฐอเมริกาและแคนาดา 41%
- ยุโรป 30%
- ไทย 11%
- อื่น ๆ 18%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมานับเป็นปีแห่งความท้าทายจากการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ที่กดดันตลาดที่ไทยยูเนี่ยนดำเนินธุรกิจอยู่ ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงค่าครองชีพและกำลังซื้อของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมธุรกิจจะยังคงอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก แต่ไทยยูเนี่ยนก็สามารถรับมือและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ในไตรมาสสุดท้ายของปียังสามารถทำกำไรได้ดีในทุกกลุ่มธุรกิจ”
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ จำกัด (มหาชน) แนะนำให้ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 20.30 บาท/หุ้น และคาดว่าในไตรมาส 1/2567 จะมีกำไรเพิ่มขึ้น เพราะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจาก Red Lobster อีกหลังจากที่บันทึกการด้อยค่าของการลงทุนที่เหลือทั้งหมดไปแล้วในไตรมาส 4/66