แรงงานชุมนุมหน้าโรงกลั่นไทยออยล์ ได้รับค่าจ้างที่ค้าง-ยุติชุมนุมแล้ว

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์! หลังจากการรวมตัวประท้วงอันยาวนานนับตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ของกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างจากผู้รับเหมาช่วงของ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ณ ริมถนนสุขุมวิท หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ในที่สุดความหวังก็เรืองรองขึ้นอีกครั้ง

การประชุมหารือเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2567 ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และผู้แทน UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ณ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยมีไทยออยล์เป็นผู้สังเกตการณ์ ได้นำไปสู่ข้อตกลงที่จะยุติปัญหาค่าจ้างค้างจ่าย นี่คือก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงพลังของการเจรจาและความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง แม้เส้นทางข้างหน้าอาจยังท้าทาย แต่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้จุดประกายความหวังให้กับแรงงานทุกคน

บริษัท UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะดำเนินการชำระค่าจ้างค้างจ่ายทั้งหมดให้กับลูกจ้างภายในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานฯ 2 ฉบับ (ที่ 20/2567 และ 21/2567) โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะเข้ามาดูแลและกำกับกระบวนการและเงื่อนไขการจ่ายเงินเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและเกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

ในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ไทยออยล์ได้รับรายงาน ยืนยันว่า บริษัท เอสทีพี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (STP) และบริษัท เอสซีไอ สยาม โคเรีย อินดัสเตรียล จำกัด (SCI) ได้ดำเนินการชำระค่าจ้างค้างจ่ายให้กับลูกจ้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานยุติการชุมนุม ณ บริเวณหน้าโรงกลั่นไทยออยล์ในเวลา 18.15 น. ของวันเดียวกัน

ไทยออยล์ขอแสดงความขอบคุณอย่างสูงต่อหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน, กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี ที่ได้ร่วมมือกันอย่างแข็งขันในการประสานงานและผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหา นำไปสู่การชำระค่าจ้างค้างจ่ายให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานได้สำเร็จ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและทำให้แรงงานสามารถกลับไปปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ

[เมื่อเสียงเรียกร้องนำมาซึ่งความเป็นธรรม]

การยุติการชุมนุม ณ โรงกลั่นไทยออยล์ ไม่เพียงเป็นชัยชนะของแรงงานที่ได้รับค่าจ้างที่ควรจะเป็น แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพลังของความสามัคคีและการเจรจาสามารถนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงได้ แม้เส้นทางจะขรุขระและเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ได้ส่องประกายความหวังให้กับทุกคน

เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนใจให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการเคารพสิทธิแรงงาน และการสร้างระบบที่เป็นธรรมและเท่าเทียม เพื่อให้ทุกคนได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมจากหยาดเหงื่อแรงกายของตน ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้อย่างแข็งขัน และขอให้เหตุการณ์นี้เป็นแรงบันดาลใจให้สังคมไทยก้าวไปข้างหน้าด้วยความเป็นธรรมและความเอื้ออาทรต่อกัน