ภาครัฐและเอกชน ร่วมมือกันขับเคลื่อนภาคธุรกิจ ด้วยระบบดิจิทัล เปิดโครงการ Smart Financial and Payment Infrastructure for Business เชื่อมโยงการค้าและการชำระเงินของธุรกิจ กับระบบของรัฐ ส่วนแรกที่เปิดตัว สามารถช่วยให้ธุรกิจ SME เข้าถึงแหล่งเงินได้ง่ายขึ้น
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ พูดถึง โครงการSmart Financial and Payment Infrastructure for Business ว่า เป็นโครงการที่จะแก้ปัญหาของการทำธุรกิจแบบเดิม จะช่วยลดต้นทุน ลดข้อผิดพลาด การตรวจสอบทำได้ง่าย และจะทำให้ได้รับเงินเร็วขึ้น รวมทั้งธุรกิจสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้สนับสนุนการขอสินเชื่อหมุนเวียนได้ด้วยซึ่งโครงการ Smart Financial and Payment Infrastructure for Business ประกอบด้วย 2 ส่วน
ส่วนแรก คือ บริการด้านการค้าและการชำระเงิน ที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการเชื่อมข้อมูลข้างต้นอย่างครบวงจร และส่วนที่สอง ที่จะเริ่มเปิดให้บริการได้ในวันนี้ คือ บริการด้านสินเชื่อ หรือ Digital Supplychain Finance ที่จะนำข้อมูลจากบริการด้านการค้าและการชำระเงิน มาใช้ในการตรวจสอบเอกสารสำหรับการให้สินเชื่อ ซึ่งด้วยระบบเชื่อมโยงข้อมูลที่ไม่ซับซ้อน จึงสามารถเปิดใช้บริการนี้ได้ก่อนในการให้ความช่วยเหลือแก่ธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด19 คาดหวังว่า บริการ Digital Supply chain Finance จะช่วยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และตอบโจทย์ผู้ประกอบการ SMEs ให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้
ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง บอกว่า แพลตฟอร์มดังกล่าว จะทำให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกขึ้น ช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ และหวังว่า platform นี้ จะเป็นจุดเริ่มต้น และตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่สำคัญปี 2565 รวมทั้งอนาคตจะขยายไปสู่ตลาดผู้ซื้อที่ใหญ่ขึ้น เช่น ตลาดการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งขยายไปยังธนาคารพาณิชย์รายอื่นๆ ให้เข้าร่วมโครงการมากขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้มีทางเลือกในการใช้บริการได้มากขึ้นในอนาคต
ขณะที่นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ระบุว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและซ้ำเติมข้อจำกัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในรูปแบบเดิมๆ ของผู้ประกอบการ SMEs สมาคมธนาคารไทย จึงได้หารือกับ ธปท. สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น ผ่านโครงการ Digital Supply Chain Finance ภายใต้แผนงาน Smart Financial and Payment Infrastructure for Business ซึ่งจะเป็นตัวกลางช่วยลดช่องว่างระหว่างกลุ่มธุรกิจที่เป็นผู้ซื้อ ซึ่งมีสภาพคล่องและเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากกว่า ให้มีโอกาสช่วยเหลือซัพพลายเออร์ของตน เพราะขั้นตอนการขายสินค้าหรือบริการของ SMEs หลังจากออกใบแจ้งหนี้ (Invoice) ต้องรอรับการชำระเงินตามเครดิตเทอม อาจมีผลต่อสภาพคล่อง
โดยธนาคารพาณิชย์เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กับผู้ขาย (SMEs) เพื่อให้ได้รับเงินค่าขายสินค้าทันทีเมื่อการส่งสินค้าเสร็จสิ้น หรือเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กับผู้ซื้อเพื่อชำระเงินให้คู่ค้าได้เร็วขึ้น โดยในอนาคตข้อมูลพฤติกรรมผู้ขายและผู้ซื้อภายใต้โครงการนี้ รวมถึงข้อมูลทางเลือกอื่นๆ เช่น ประวัติการชำระค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายรายเดือนโทรศัพท์มือถือ การซื้อขายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น จะถูกจัดส่งให้บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) และด้วยเทคโนโลยี AI และ Data Analytics ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) จะสามารถพัฒนาขีดความสามารถทางด้าน Alternative Credit Scoring สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ 3 ปีของสมาคมธนาคารไทย
ส่วนนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานส.อ.ท. บอกว่า ขณะนี้มีหลายบริษัทที่แสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการแล้ว โดย ส.อ.ท. ขอเชิญชวนผู้ประกอบการให้เข้ามาใช้บริการ Digital Supplychain Finance Platform กันให้มากขึ้นอีก รวมถึงเชิญชวนผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เป็น Buyer ให้เข้าร่วมในโครงการนี้ด้วย เพื่อช่วยเหลือซัพพลายเออร์ในเครือข่ายให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจ สร้างความเข้มแข็ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับ Supply Chain ของแต่ละธุรกิจต่อไป โดยขอให้ระบบสามารถออกแบบให้รองรับการใช้งานที่ง่ายทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสินค้า เพื่อที่จะมีผู้ประกอบการเข้ามาใช้กันให้มากขึ้น